EN03 ???? (M?ngy?n zh?m?) : ปริศนาลับไขดวงชะตา
ใครจะไปคิดว่าการที่เขาย้ายมาอยู่กับลุงด้วยเหตุจำเป็นอย่างว่าที่นักศึกษา จะเป็นการกระตุ้นคำสาปจากความฝันให้ตื่นขึ้น ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขาจึงได้เริ่มไขกระจ่าง พร้อมกับเวลาชีวาที่นับถอยหลัง..
ปฐมบท
มันเป็นภาพที่เขามักฝันเห็นบ่อย ๆ ในทุกครั้งที่หลับตานอน...
เขาจดจำมันได้ดีถึงภาพของบันไดหินสีดำที่เย็นเฉียบจนสะท้านขั้วหัวใจ ยามแผ่นเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสพื้นหินอ่อนของสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีสายลมหนาว ๆ เสียดสีกับผิวกายพร้อมกับอาการหายใจลำบากคล้ายกำลังปีนภูเขา เสียงดังแก๊ก ๆ ของโลหะเย็นใช้คล้องมือของนักโทษบริเวณข้อมือของเขานั้นถูกเชื่อมโยงไปด้านหน้า พอเหลือบมองขึ้นไปก็พบกับร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังเดินนำอยู่
เขาเคยนึกคิดสงสัยว่าทำไมตนเองถึงได้ฝันแบบนี้บ่อยนัก แต่กลับไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้สักครั้ง
มันเพราะอะไรกันนะ?
ครืด!
“อึก! เจ็บ!”
ปลายโซ่เหล็กถูกดังกระชากอย่างแรงดึงตัวเขาพุ่งไปข้างหน้า พร้อมทั้งสร้างความเจ็บปวดให้จากแรงกระแทกของตัวโครงเหล็กล็อคระหว่างแขนกับข้อมือของเขา เนื่องจากความหนาวมันจึงทำให้ช่างรู้สึกเจ็บระบมไม่ใช่น้อย เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอดบนสุดของสถานที่ปริศนาแห่งหนึ่งเขาก็พบว่าบนนี้มีลานกว้างทำจากหินแกะสลักแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งภายในปรากฏรูปของมังกร หงส์ เสือและเต่าตามลำดับ ตัวเขานั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด...
แต่น่าแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าการมาเยือนสถานที่แห่งนี้นั้นไม่ได้เป็นเรื่องน่ายินดีเท่าไรนัก
เขาถูกปลายโซ่ดึงกระชากมาอยู่ในจุดหินแกะสลักพวกนั้น ก่อนจะเหลือกไปเห็นภาพบางอย่างผ่านเส้นผมที่ตกลงมาปกหน้าว่าคนหัวแถว โดยเขาคาดว่า...น่าจะเป็นผู้ชายจากการแต่งตัวรูปร่างสูงโปร่งเกินผู้หญิงถูกเตะเข้าบริเวณหัวเข่าจนต้องคุกเข่าลง ไร้การเอ่ยคำสั่งใด ๆ คนที่อยู่ถัดจากชายคนนั้นอีกสองคน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหญิงสาวทั้งคู่ก็พลันนั่งคุกเข่าลงตาม ตัวเขาเองไม่ได้นึกอยากนั่งคุกเข่าเลยสักนิดแต่ร่างกายกลับขยับนั่งคุกเข่าลงไปเองเสียอย่างนั้น
ทำไมถึงเป็นแบบนี้...ทำไมร่างกายของตัวเองถึงไม่ฟังคำสั่ง!
ต๊อก! ต๊อก!
ขณะคิดถามตัวเองอยู่เขาก็ได้ยินเสียงปริศนาคล้ายกับบางสิ่งกระทบพื้นหินส่งเสียงดังขึ้นจากบริเวณบันไดที่เขาเดินขึ้นมา เสียเวลารอไม่นานนักเจ้าของเสียงพลันปรากฏกายขึ้นเป็นชายชราร่างโค้งงอเดินถือไม้เท้า นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สังเกตเห็นกลุ่มชายและหญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งเบื้องหน้าของตน ทั้งหมดกำลังโค้งทำความเคารพการมาเยือนของชายชราก่อนหนึ่งในนั้นจะผายมือไปทางด้านเขาซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่
ชายชราพยักหน้าเล็กน้อยก่อนสาวเท้าเดินอย่างเชื่องช้ามาหยุดยืนอยู่หน้าเบื้องหน้าพวกเขา
“อย่ากลัวไปเลย..เด็กน้อย...ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะผูกดวงชะตาของพวกเจ้า”
ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนจะกระแทกปลายไม้เท้าลงบนพื้นหิน ฉับพลันวงเวทย์แสงสีขาวได้ปรากฏขึ้นล้อมรอบจุดหินแกะสลักอันมีตัวเขาและคนอื่น ๆ นั่งคุกเข่าอยู่ ขณะนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมอ่อน ๆ พร้อมกับกลิ่นหอมรัญจวนแตะปลายจมูก ซึ่งมาจากกลีบดอกท้อที่กำลังปลิววนรอบออกมาจากวงแหวน
กลิ่นแบบนี้น่าจะทำให้ผ่อนคลาย…
แต่ทำไมกลับรู้สึกโศกเศร้าเหมือนกำลังจะโดนพิพากษาอะไรสักอย่างนัก
...ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นเช่นกัน
“ในนามของผู้เฒ่าแห่งหุบเขาท้อพันปี ข้าจักขอผูกดวงชะตาของบุคคลทั้งสี่นี้ ไม่ว่าจะไปที่แห่งหนใดห่างไกลกันสักเพียงไหน พวกเขาทั้งหมดจักต้องมีเรื่องให้โคจรมาพบกัน เพื่อชดใช้ซึ่งความผิดที่กระทำ คำพูดนี้จักเป็นหมือนดังคำสาบานติดตามตัวของพวกเจ้าทั้งสี่ไปตลอดกาล”
สิ้นเสียงของผู้เฒ่าแห่งหุบเขาท้อพันปีพลันวงแหวนเวทย์ก็เปร่งแสงสว่างวูบจ้าออกมา ก่อนวงเวทย์นั้นจะสลายหายไปกลายเป็นกลีบดอกท้อสีชมพูอ่อนลอยขึ้นสู่ท้องนภา ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลกใจตัวเองนักเพราะเขาไม่เข้าใจว่าคำพูดของผู้เฒ่าคนนี้ต้องการสื่ออะไร จึงได้แต่นั่งก้มหน้าแบกความรู้สึกสงสัยและอึดอัดราวแบกภูเขาทั้งลูกไว้ในอก คำพูดพวกนี้มันต้องการอะไรเขาไม่รู้...
รู้เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับและแสดงความนึกคิดของตนเองออกมาได้เลย
ทำไมกันนะ... คำถามนี้ดังอยู่ในหัวของเขาวนซ้ำไปซ้ำมา
คิดสงสัยไปมันก็เท่านั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาก็พบกับร่างสูงใหญ่ดูน่าเกรงขาม บวกกับรอยแผลเป็นตามแขนบ่งบอกถึงการผ่านศึกสงครามมานับร้อยยิ่งเพิ่มความทรงอำนาจให้กับตนมากยิ่งขึ้น พอจะพยายามมองสังเกตใบหน้าของเจ้าของร่างนั้นเขาก็พบเพียงแสงสว่างจ้าปิดบังใบหน้าจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดคล้ายกับกำลังจ้องหลอดไฟฟ้าอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่ร่างชายปริศนา แต่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เองก็มีใบหน้าอันขาวโพลนและเปล่งแสงสว่างจ้าเช่นเดียวกัน
เขาเห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่เดินสาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าหัวแถว
“จักขอเริ่มพิพากษาโทษของนักโทษทั้งสี่บัดเดี๋ยวนี้”
ร่างนั้นประกาศกร้าวซึ่งทันใดที่เอ่ยจบประโยค บริเวณด้านหน้าของตัวเองก็มีร่างสูงสง่าสาวเท้าเดินมายืนประจำอยู่เบื้องหน้า และไม่ใช่แค่ตนเท่านั้นคนอื่นที่อยู่ถัดไปอีกสองคนเองก็ได้มีคนยืนอยู่ด้านหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดทันทีที่เห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า เขากลับรู้สึกเหมือนความหนักอึ้งที่มีอยู่ในใจพลันทวีคูณมากขึ้น
อาจจะเป็นเพราะ...ฐานะที่เขาเห็นตัวเองเป็น ‘นักโทษ!’
“โทษของพวกเจ้ากระทำผิดนั้นหนักหนานัก และทำให้พวกข้าไม่มีทางเลือกนอกจากพิพากษาไปตามเนื้อความ สิ่งที่กระทำนั้นใหญ่หลวงนักสามารถก่อปัญหาให้แก่พิภพได้ทุกอาณาบริเวณ แม้พวกเจ้าจะไม่ได้เจตนาก็ตาม ซึ่งโทษที่พวกข้าได้ลงความเห็นกันออกมาคือ ส่งพวกเจ้าทั้งสี่ไปเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยจนกว่าจะแก้ไขสิ่งที่พวกเจ้ากระทำผิดได้ หากทำไม่สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด พวกเจ้าจะต้องมีอันเป็นไปทันทีและวนลูปกลับเป็นเฉกเช่นนี้ตลอดกาล”
น้ำเสียงที่ฟังดูหนักแน่นกล่าวออกมา ก่อนเขาจะเหลือกหางตาไปเห็นว่าร่างสูงใหญ่ได้ยื่นปลายนิ้วชี้จิ้มเข้าบริเวณที่น่าจะเป็นกลางหน้าผากของคนหัวแถว พลันกับเหมือนเห็นแสงสว่างสีน้ำเงินพุ่งออกจากปลายนิ้วนั้น ก่อนร่างของคนหัวแถวจะสลายกลายเป็นละอองเปล่งแสงสีน้ำเงินล่องลอยขึ้นไปบนท้องนภา โซ่ตรวนที่เคยคล้องอยู่บนข้อมือตกลงกระทบพื้นดังสนั่น ภาพที่เกิดขึ้นนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของเขาทุกกระบวนท่า
ซึ่งพอเห็นแบบนั้นน้ำตาของเขากลับเพิ่มพูนจนเอ่อล้นไหลลงอาบแก้ม
ทำไม…ถึงรู้สึกหนักอึ้งหายใจไม่ออกเหมือนกับถูกผูกติดกับหินและโยนถ่วงน้ำกันนะ
ทั้งที่รู้สึกตัวดีว่ากำลังฝันอยู่แต่ทำไมเขากลับไม่สามารถบังคับให้ตัวเองตื่นได้ จังหวะที่กำลังสับสนอยู่เขาก็สัมผัสได้ว่าคนเบื้องหน้าได้ชี้นิ้วจิ้มไปยังหน้าผากของเขา เหมือนกับถูกกระแสไฟฟ้าหลายแสนโวลต์แล่นช็อตผ่านไปในโซนสมอง ไล่ความเจ็บปวดแทบปานตายไปทั่วทุกส่วน เขาเงยหน้าขึ้นเบิกตากว้างรู้สึกได้ว่าร่างกายทุกส่วนมันหนักอึ้งไปหมดแถมยังมีอาการชาสะท้านไปทั่วตัว
นั่นเป็นความรู้สึกนึกคิดที่เขารับรู้ได้สุดท้ายก่อนที่ภาพทั้งหมดจะกลายเป็นสีดำมืด
...และพบว่าตัวเองตื่นขึ้นในเวลาต่อมา
=================================================================================
บทที่ ๑
ย่างก้าวสู่เมืองเก่า
พรึ่บ!
ชายหนุ่มร่างสูงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วหากว่าแถวนี้มีใครกำลังสังเกตเขาอยู่ คงได้มีอันตกใจจนถอยหลังหนีเป็นแน่ เขานั่งนิ่งกระพริบตาถี่ ๆ อยู่สักพักพอได้สติเขาจึงเริ่มกวาดนัยน์ตาเรียวสีฟ้าอมเทาไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจว่าตนเองอยู่ที่ใด คำตอบที่ได้ก็คือเขากำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางสายหนึ่งซึ่งกำลังแล่นผ่านถนนอันขรุขระ ทำให้ตัวของเขากระเด้งขึ้นจนหัวกระแทกชนขอบหน้าต่างทุกครั้งที่รถตกหลุม
ชายหนุ่มถอนหายใจลูบบริเวณที่ถูกกระแทกหวังให้คลายความเจ็บปวด เขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับอาการบาดเจ็บแบบนี้ เพราะมันก็บอกได้ว่าอย่างน้อยความเจ็บนี้มันก็ทำให้เขาโล่งใจได้ว่ากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว
...ไม่ใช่กำลังหลับอยู่ในฝันประหลาดที่ตัวเองเหมือนนักโทษโดนประหารแบบนั้น
เขาจัดท่านั่งของตัวเองให้หลังตรงพิงเบาะ ก่อนจะเริ่มจัดการกับเส้นผมสีเทาดำซอยสั้นประต้นคอซึ่งบัดนี้เจ้าผมที่ปล่อยเป็นหน้าม้านั่นได้ตกลงมาปกตาจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว เขาปลดกิ๊บติดผมสีขาวที่คาค้างอยู่บนเส้นผมออก จากนั้นจึงค่อย ๆ สางผมด้านซ้ายส่วนที่ปิดการมองเห็นกลับขึ้นไป แล้วจึงจับกิ๊บที่ปลดออกมาสองตัวนั้นกลัดมันไม่ให้ร่วงลงมาอีกรอบ พอเช็คว่าจัดแจงตัวเองเสร็จเรียบร้อย
เขาจึงหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถซึ่งฉายภาพของวิวทิวทัศน์เป็นภาพของบ้านไม้สไตล์จีนโบราณที่ดูอายุเก่าแก่หลายหลังข้างทาง ชวนให้รู้สึกเหมือนเขากำลังย้อนอดีตเหยียบย่างกายเข้ามาภายในเมืองเก่าในช่วงยุคสมัยก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่งชมวิวได้ไม่นานรถประจำทางที่เขานั่งอยู่ก็จอดลงหน้าป้ายรอรถ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้และกระเป๋าสะพายขึ้นแบกเดินลงจากรถ
พอลงมาเสร็จเขาก็รีบหันซ้ายหันขวาหาใครบางคนที่น่าจะรอรับเขาอยู่ เมื่อยังไม่เห็นวี่แววว่ามีคนที่รับปากกับเขาเมื่อคืนตอนคุยโทรศัพท์กันว่าจะมารออยู่แถวนี้ เขาจึงถอนหายใจอีกครั้งล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า เลื่อนปลดล็อคหน้าจอระบบสัมผัสออกเพื่อกดเลื่อนหาเบอร์ของคนที่ต้องการ
ขณะที่กำลังเลื่อนหาเบอร์โทร.อยู่ดี ๆ เขาก็ต้องสะดุ้งโหยง
“โฮ้...มาจนได้นะ เสียนหมิง คิดว่าหลงหาของป่ากินซะแล้ว”
เขาหันไปทางต้นเสียงคำทักทายที่ฟังดูคุ้นหูนั่นก่อนจะพบกับชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงกำยำ ในชุดถังจวงสีน้ำตาลออกเหลือง ๆ หน้าผากผูกผ้าสีขาวกำลังวิ่งมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ เสียนหมิงหรือจ้าวเสียนหมิงคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ พร้อมเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าก่อนยกมือขึ้นป้อมปากข้างโบกมือตอบข้าง
“โอ๊ะ! ลุงเฟิง อยู่นี่เองเหรอครับ พูดงี้ผมก็ว่าจะโทร.ไปจิกตามลุงอยู่พอดีเลย”
“เออ ๆ ไม่ต้องโทร.จิก แกเป็นนกรึไงวะ เสียนหมิงน้อย”
ลุงเฟิงหรือชื่อแซ่เต็ม ๆ คือ จ้าวเฟิงซือ ผู้เป็นญาติทางฝ่ายพ่อพุ่งเข้ามาล็อคคอหลานชายของตน จากนั้นจึงลงมือขยี้หัวของอีกฝ่ายจนผมเผ้าที่จัดทรงมาตอนอยู่บนรถประจำทางเป็นอันต้องยุ่งฟูไม่เป็นทรงอีกครั้ง โดยทางด้านจ้าวเสียนหมิงเองก็ใช่ว่าจะยอมเสียหล่อตอนนี้ เขาพยายามดันมือของลุงเฟิงออกแม้มันจะไม่ขยับเนื่องจากแรงที่มีไม่เท่ากัน
ก็แน่แหละ! มันจะเท่ากันได้ไงในเมื่อตัวเขาตัวเล็กกว่าผู้เป็นลุงขนาดนี้
“เฮ้ย! ไม่เอา...ลุงเฟิงไม่เอาเว้ยครับ อายเขา! หยุดขยี้หัวผมเลยนะ”
“อะไรว้า! ไม่เจอกันตั้งนาน นี่แกกล้าปฎิเสธลุงแกเหรอ ตัวเล็ก”
“เฮ้ย! ใครว่าผมตัวเล็กลุงเฟิง ถอนคำพูดเป็นผมแค่โตช้าเพราะแคลเซียมไปเลี้ยงกระดูกไม่ทันต่างหากเลย”
คำว่าแค่โตช้าของหลานชายทำให้จ้าวเฟิงซือหัวเราะลั่น แม้จะเห็นว่าหลานชายเป็นคนตัวสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรขึ้นได้แต่ขนาดหุ่นนี่ก็ยังถือว่าผอมพอควรเลยทีเดียว ซึ่งพอเทียบกับตัวเขาที่ออกจะร่างใหญ่กว่าอีกฝ่ายไปหน่อยมันก็อดไม่ได้ที่จะเรียกว่า ‘ตัวเล็ก’ นี่เขาผิดหรืออย่างไรกัน
“แกมันผอมเลยตัวเล็กมากกว่าฉันไง ฮ่า ๆ ยอมรับสักทีเถอะ เสียนหมิงเอ๋ย”
“พอเลยลุง! ผมไม่ได้ทำงานหนักแบบลุงนี่จะได้ตัวใหญ่เป็นยักษ์แบบนั้น”
“บ๊ะ! ไอนี่ ลุงไม่ได้เป็นยักษ์สักหน่อย พูดจายอกล้อลุงให้ได้ยังงี้ตลอดเลย ให้ตายสิ!”
จ้าวเฟิงซือพูดพร้อมระเบิดหัวเราะออกมาดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจอะไร แต่ฝ่ายจ้าวเสียนหมิงดูจะไม่ได้มีความสุขกับเสียงหัวเราะเขาด้วยเลย ใบหน้าของเขาบึ้งตึงบอกบุญไม่รับโยนบุญก็ไม่เอาเลยทีเดียว ทว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เจ้าตัวก็เดินตามผู้เป็นลุงไปไม่ทิ้งห่าง อาจจะเป็นเพราะการมาเยือนเมืองใหม่ที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่ทราบที่ทางของมันก็เป็นได้
ทว่า...พอนึกถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองต้องย้ายจากเมืองใหญ่มาที่นี่ มันก็ด้วยเพราะระยะทางจากเมืองนี้ไปยังมหา’ลัยที่เขาสอบติดในโค้งสุดท้ายมันใกล้กว่าเมืองที่ตัวเองอยู่ก่อนหน้านัก และที่นี่ก็ยังมีญาติซึ่งไว้ใจได้อย่างลุงเฟิงอยู่ด้วยมันจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไร พ่อและแม่ที่อยู่เมืองใหญ่จึงกล้าปล่อยให้เขามาที่นี่แทนจะไปเช่าหออยู่
“สนใจจะเดินชมรอบ ๆ เมืองหน่อยไหมล่ะ เสียนหมิง”
“ไว้วันหลังนะครับ ลุงเฟิง ผมเพลียอะ ขอแค่เส้นทางหลักที่ทำให้ผมเดินหลงแล้วกลับบ้านถูกก็พอ”
“ก็ได้ ๆ เส้นทางหลักไปบ้านลุงมันก็มีไม่กี่สายหรอก เอางี้ระหว่างทางกลับบ้านลุงจะแนะนำทางด้วยล่ะกัน”
“ผมยังไงก็ได้แล้วแต่ลุงเฟิงเหอะ”
น้ำเสียงอิดโรยของจ้าวเสียนหมิงทำให้ลุงเฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางขยี้หัวหลานชายที่ตอนนี้มันยิ่งยุ่งจนอีกฝ่ายขี้เกียจจะจัดทรงผมใหม่อีกครั้งไปด้วย แต่ถึงจะรู้สึกว่าไม่อยากจัดแล้วยังไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเพราะทนความรำคาญผมหน้าม้าที่ลงมาบดบังการมองเห็นไม่ไหว เขาก็ต้องปลดกิ๊บออกมาและสางเส้นผมกลับไปกลัดไว้ตามเดิมอยู่ดี
สองลุงหลานแซ่จ้าวพากันเดินผ่านทางมาเรื่อย ๆ โดยที่จ้าวเฟิงซือก็ถือโอกาสแบบนี้แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ไปด้วยตามที่บอกกับหลานเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางหลักของเมืองที่มีทั้งถนนและคลองหลายสาย สถานที่ต่าง ๆ ภายในเมือง ซึ่งทางจ้าวเสียนหมิงเองก็ดูจะตื่นเต้นกับบ้านเมืองทำจากดิน ไม้ และปูนที่มีอายุเก่าแก่ภายในตัวเมือง โดยส่วนใหญ่จะมีเส้นทางติดต่อกับคลองไปเสียหมด จนต้องมีสะพานสร้างขึ้นมาเป็นทางเท้าและโค้งเป็นอุโมงค์สำหรับเรือเล็กที่แจวผ่านไปมา สำหรับเด็กเมืองแบบเขาการที่ออกจากเมืองศรีวิไลมายังเมืองเก่า ทุกอย่างที่เห็นมันค่อนข้างที่จะหาชมได้ยากและน่าประทับใจอยู่ไม่น้อย
รู้ตัวอีกทีก็พบว่า...เสียรู้ถูกลุงเฟิงลากชมไปได้ครึ่งเมืองซะแล้ว
“ลุงเฟิง เห็นผมเคลิ้มหน่อย นี่ลากผมเดินซะครึ่งเมืองเลยนะ”
จ้าวเสียนหมิงบ่นอุบอิบนั่งพักเหนื่อยอยู่บริเวณโต๊ะไม้ใกล้หน้าต่างของร้านน้ำชาที่พอมองออกไปจะเห็นต้นหลิวใกล้ลำคลองพริ้วไสวตามแรงลมข้างถนนที่ปูด้วยหินอ่อน กับลุงเฟิงซึ่งไม่ได้มีท่าทีว่าจะเหนื่อยอะไรเหมือนหลานชายที่หมดสภาพนั่งกระดกถ้วยน้ำชาจนเสียรส สร้างความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกินหากเทียบกับคนในเมืองนี้
จ้าวเฟิงซือหัวเราลั่นร้านก่อนจะยิ้มจนตาหยี
“อะไรเล่า ก็เห็นแกทำท่าสนอกสนใจดีก็เลยพาเดินชมให้ทั่วตั้งแต่ตอนนี้เลยไง”
“โห่...วันนี้หัวถึงหมอนผมคงได้หลับเป็นตายแน่อะสิ ลุงเฟิง”
“เด็กเมืองนี่มันร่างกายอ่อนแอกันซะจริง เดี๋ยวอยู่นี่แป๊บเดียวก็แข็งแรงเองแหละ ฮ่า ๆ”
ลุงเฟิงหัวเราะอีกครั้งซึ่งทำให้จ้าวเสียนหมิงพอจะรู้แล้วว่าแม้จะไม่เจอกันนานหลายปี คุณลุงของตนก็ยังเป็นคนเฮฮาและร่าเริงพูดจาแซะแซวให้เขายอกย้อนกลับเล่นเหมือนกับสมัยตอนเด็ก ๆ ไม่มีเปลี่ยนไปเลย เขาคลี่ยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะส่ายหน้าและเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำชายกขึ้นจิบให้ชุ่มคออีกสักหน่อย
นั่งจิบชาไปได้ไม่กี่อึกชายหนุ่มแซ่จ้าวก็ได้พบตัวตนเกี่ยวกับลุงของตนเพิ่มอีกอย่าง คือนอกจากบุคลิกนิสัยที่ดูเฮฮาร่าเริงแล้วนั้น เขายังอัธยาศัยดีมีเพื่อนสนิทคนรู้จักมากมายอีกต่างหาก จ้าวเสียนหมิงจิบชาในแก้วไปมองลุงเฟิงย้ายเก้าอี้ไปร่วมกลุ่มสนทนากับเพื่อนวัยใกล้เคียงกันอย่างออกรสออกชาติ ตอนแรกก็แนะนำเขาที่เป็นหลานพอหอมปากหอมคอจากนั้นจึงวกไปคุยเรื่องของพวกเขาเอง ตัวเขานั้นจึงได้แต่นั่งเหม่อมองทิวทัศน์ของเมืองผ่านร้านน้ำชาแก้เบื่อไปพลาง
ถ้าถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้มันก็เพราะ...
...เขายังไม่รู้ทางไปบ้านลุงเฟิงน่ะสิ!
คิดแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเสียรู้ลุงเฟิงไปเยอะเหมือนกัน ทั้งที่เอะใจแล้วแท้ ๆ ว่าทำไมทางไปบ้านมันจะเดินวกไปวกมาได้ขนาดนี้ แต่ตัวเองกลับไม่เอ่ยปากทักท้วงซะอย่างนั้น จ้าวเสียนหมิงถอนหายใจเบา ๆ ยกแก้วชาขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะเหม่อมองออกไปชมวิวทิวทัศน์ภายนอกที่ช่างดูเงียบสงบ ในตำแหน่งโต๊ะที่เขานั่งนั้นติดกับริมถนนซึ่งมีมีคนเดินไปมาประปรายรถยนต์หรือจักรยานยนต์ก็มีให้เห็นจนนับคันได้ ที่จะเห็นเยอะกว่าปกติก็คงเป็นจักรยานถีบสองล้อนี่มากกว่า
ช่างเป็นบรรยากาศที่ในเมืองหลวงใหญ่ ๆ ไม่มีให้เห็นแล้วจริง ๆ
ขณะที่จ้าวเสียนหมิงกำลังมองสำรวจที่อยู่ใหม่อยู่นั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครบางคนเดินมาจนเกือบชิดขอบหน้าต่าง เงยหน้าขึ้นมองอีกทีก็พบว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แต่งกายด้วยชุดถังจวงสีดำเนื้อผ้าคล้ายผ้าไหมอย่างดี ดวงหน้าเรียวนั้นประดับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด ๆ ที่จัดว่าอยู่ในขั้นหล่อดูดี แต่กลับมีบรรยากาศรอบตัวไม่ชวนให้อยากเข้าใกล้ เส้นผมสีน้ำตาลดำซอยสั้นประต้นคอถูกหวีจนเรียบไม่ค่อยมีส่วนที่ชี้ฟูมากนัก ดูจากลักษณะภายนอกเขาคงจะเป็นพวกชาติตระกูลดีไม่ใช่น้อยทีเดียว
“โอ๊ะ! นั่นเสี่ยวไท้นี่ มาดื่มชาด้วยกันไหม?”
เสียงของกลุ่มสนทนาของจ้าวเฟิงซือตะโกนออกมาเรียก ชายหนุ่มเจ้าของนามต้องเป็นอันหยุดชะงักฝีก้าว ก่อนจะค่อย ๆ เดินถอยหลังมาสักสองถึงสามก้าวกลับมายังหน้าต่างที่จ้าวเสียนหมิงมองออกไปเมื่อสักครู่
“โทษที ลุงฉี วันนี้ผมไม่ว่างเท่าไร”
“เหวย! โดนปฎิเสธอีกล่ะ นายน้อยซานนี่ยุ่งตลอดเวลาเลยจริง ๆ”
ลุงฉีตะโกนแซวออกมาอย่างตลกขบขัน ซึ่งทางด้านนายน้อยซานหรือซานไท้หยางได้แต่ยักไหล่ตอบโต้ไปนิดหน่อย การโดนแซวอะไรแบบนี้มันเป็นอะไรที่เขาชินชาแล้วจริง ๆ จึงไม่คิดจะเถียงแล้วหันข้างเตรียมเดินไปทำธุระที่ตัวเองสมควรไปทำต่อ ทว่าเขากลับสังเกตเห็นใครบางคนในร้านที่ไม่คุ้นหน้าระยะเผาขนเข้าเสียก่อน จากที่ตั้งใจจะรีบกลับไปทำธุระของตัวเองต่อก็กลายเป็นต้องหันหน้ากลับเข้าไปหากลุ่มของลุงป้าที่เพิ่งแซวตนเอง
“เด็กคนนี้ใคร?”
คำว่า ‘เด็กคนนี้’ ทำเอาจ้าวเสียนหมิงแทบพ่นน้ำชาที่ตัวเองดื่มอยู่ออกมา นี่ยังดีแค่ไหนที่เขายังพยายามกลืนมันกลับลงไปในคอได้สำเร็จแม้จะสำลักบ้างนิดหน่อย ไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าโตจนอายุจะสิบเก้าปีแล้ว แถมพ่วงด้วยกำลังจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งอย่างเป็นทางการ ยังมีคนเรียกว่าเด็กแบบนี้ได้อีกเขาไม่ชอบใจเลยสักนิด
“อ้อ...หลานชายฉันเองแหละ มันเพิ่งย้ายมาวันนี้น่ะ”
“เหรอ...”
คำตอบกลับช่างไม่มีสัมมาคาระวะซะจริง
จ้าวเสียนหมิงคิดแบบนั้นแต่สำหรับพวกคณะลุงป้าของที่นี่ คงจะเป็นเรื่องที่พวกเขาเคยชินเลยไม่มีใครพูดทักท้วงอะไร นอกจากช่วยกันพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนตุ๊กตาหน้ารถยนต์ก็ไม่ปานเพื่อยืนยันคำตอบของลุงเฟิง
“ชื่อล่ะ?”
“เสียนหมิง...จ้าวเสียนหมิง”
จ้าวเสียนหมิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากญาติดีเท่าไร เขายังรู้สึกเคืองใจเรื่องเรียกเขาว่า ‘เด็ก’ อยู่
“งั้นสินะ หึ! มาจนได้...”
ซานไท้หยางตอบกลับมาเพียงเท่านั้นเขาก็หันข้างเดินออกไปทันทีโดยไม่คิดจะเอ่ยคำร่ำลาหรือทักทายอะไรเพิ่มเติม นอกจากสร้างความสงสัยในคำพูดว่า ‘มาจนได้’ ยังทำเอาจ้าวเสียนหมิงอ้าปากพะงาบ ๆ รู้สึกอยากตะโกนไล่หลังไปว่า ‘นี่แกไม่คิดจะบอกชื่อแซ่ตัวเองบ้างหรือไงฟะ’ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำแล้วกลับไปนั่งจิบชาให้ใจเย็นลงแทน
ท่าทางของหลานที่ทำหน้าบึ้งจนแปลกตาไปนั้นตัวลุงเฟิงเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าเขาต้องการอะไร
“เสียนหมิง คนที่คุยกับหลานเมื่อกี้ชื่อ ซานไท้หยาง”
พูดจบจ้าวเฟิงซือก็ได้ยินเสียงเหมือนกับใครบางคนไอค่อก ๆ คล้ายกับสำลักน้ำดังขึ้นมาแทบจะทันที จ้าวเสียนหมิงไอเอาน้ำที่สำลักออกจนหมดก็เหลือกตามองลุงเฟิงด้วยความแปลกใจ เขาและบรรดาเพื่อนกลุ่มสนทนาต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในความเลิ่กลั่กของชายหนุ่มแซ่จ้าว
“อ้าว! สำลักทำไม ลุงเห็นอยากรู้เลยตอบให้เนี่ย”
“ค...ใครอยากรู้วะ ลุงเฟิง”
ใบหน้าของจ้าวเสียนหมิงขึ้นสีเล็กน้อยด้วยความเขินอายกับการเป็นตัวตลกให้พวกลุงป้าที่นั่งก๊งดื่มน้ำชาแบบรักสุขภาพขำกัน จ้าวเฟิงซือระเบิดเสียงหัวเราะลั่นร้านปากอ้ากว้างจนดูน่าเกลียดไม่อายใคร “เหวย! เสียนหมิงเอ๋ย ไม่ต้องมาทำปากคงปากแข็ง ตั้งแต่เสี่ยวไท้ทักไปก็เห็นแกทำหน้าหงุดหงิดทำปากหงับ ๆ บ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว แค่เห็นก็รู้ได้ไม่ยากเลยว่าแกอยากรู้ชื่อแน่ ๆ”
“เอ้อ...แต่พูดถึงเสี่ยวไท้แล้ว เพิ่งเคยเห็นทักถามชื่อคนแปลกหน้าครั้งแรกเลยนะ”
ป้าร่างอ้วนท้วมคนหนึ่งในหมู่ของกลุ่มสนทนาของลุงเฟิงทักถามขึ้น ทันทีที่มีคนเริ่มเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาใหม่ลุงป้าที่เหลือก็ต่างพากันพยักหน้าเออออเห็นด้วย
“นั่นสิ! ขนาดตอนนั้นหลานฉันมาเยี่ยมเสี่ยวไท้ก็ไม่เห็นถามอะไรเลย”
“ใช่ ๆ เมื่อเดือนก่อนลูกฉันมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน”
พวกลุงป้าที่กำลังคุยถามไถ่เรื่องความผิดปกติของซานไท้หยางอยู่ต่างเริ่มยกข้อสังเกตขึ้นมา ด้วยความที่เพราะเจอหน้ากันระหว่างมาพักดื่มชากันที่ร้านน้ำชาแห่งเดียวประจำเมืองแห่งนี้บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่พวกเขาพอจะทำความสนิทสนมและรู้จักนิสัยใจคอกันได้ ซึ่งพอยิ่งยกเรื่องข้อสังเกตต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นต่างก็มีความสงสัยทวีตาม
“ไม่แน่อาจจะเพราะอายุใกล้ ๆ กันล่ะมั้ง ก็ปีนี้เสี่ยวไท้อายุยี่สิบเอ็ดแล้วนี่นา”
“เออ...ก็น่าคิด ว่าแต่หลานลุงเฟิงอายุเท่าไรแล้วล่ะ?”
“ปีนี้สิบเก้าหรือเปล่า เสียนหมิง”
ลุงเฟิงหันมาถามหลานชายเพื่อยืนยันความแน่ใจซึ่งได้รับการพยักหน้าตอบ
“เอ้อ! งั้นก็ไม่ติดใจสงสัยล่ะ ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมีแต่รุ่นไม่อายุมากกว่าเสี่ยวไท้เท่าตัวก็อายุน้อยมากทั้งนั้น จะมีใกล้ ๆ ก็หนูชุนเสี่ยวกับหนูเหวินหย่าใช่ไหมล่ะ แต่ก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่นิสัยแบบเสี่ยวไท้คงไม่กล้าสนิทด้วยล่ะมั้ง” ป้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้สรุปซึ่งเป็นข้อสรุปที่ทุกคนพร้อมใจคิดว่าเป็นจริงตามที่กล่าว ด้วยอัตราคนในเมืองที่อายุมากกว่าสามสิบขึ้นไป มันก็คงทำให้พอมีเด็กอายุใกล้ ๆ กันเข้ามานายน้อยสกุลซานถึงได้ไถ่ถามชื่อเอาไว้
สิ้นสุดหัวข้อสนทนานี้พวกลุงป้าก็กลับไปคุยกันเรื่องอื่นอย่างการบริโภคน้ำชาและเศรษฐกิจในช่วงนี้ การสนทนานั้นกินเวลาไปยาวนานมากจนจ้าวเฟิงซือสังเกตเห็นว่านี่มันก็เย็นมากแล้ว เขาควรจะพาหลานกลับบ้านไปจัดของได้เสียที คิดได้ดังนั้นก็รีบหันมาทางจ้าวเสียนหมิง เขาจึงพบว่านอนหลับฟุบไปกับโต๊ะหมดสภาพไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลุงเฟิงถอนหายใจมองด้วยความเอ็นดูเหมือนกับภาพหลานชายตัวน้อยที่เขาเคยไปเยี่ยมเมื่อหลายปีก่อนพลันฉายทาบขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะปล่อยจะให้เด็กคนนี้หลับไปก่อนตื่นแล้วค่อยพากลับบ้านดีกว่า
แต่...ก็ต้องยกเลิกความคิดนั้นไป
เมื่ออยู่ ๆ จ้าวเสียนหมิงสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นมาหอบหายใจถี่ชุดใหญ่จนน่าเป็นห่วงว่าเป็นโรคหอบหรือเปล่า นัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิกกว้างไม่มีท่าทีว่าจะลดขนาดกลับลงเท่าเดิม เหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ที่ไม่รู้ว่าผุดขึ้นมาตอนไหนต่างไหลอาบดวงหน้าซีดเผือกเหมือนพบเห็นวิญญาณผีร้ายมาหลอกหลอนก็ไม่ปาน
อาการนั้นน่าห่วงและชวนสงสัยเสียจริง...
“เสียนหมิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่า! ไม่เป็นครับ”
คำตอบที่ตอบกลับแทบทันควันเหมือนไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมันไม่ชวนให้คนที่เห็นเหตุการณ์คิดแบบนี้เลย
“ลุงเฟิง หลานลุงเป็นอะไรน่ะ สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรเลย”
“ไม่รู้มัน” ลุงเฟิงตอบไปตามความจริงที่ได้รับรู้ จ้าวเสียนหมิงเห็นท่าไม่ดีเขาจึงยืนขึ้นสะพายกระเป๋าเป้และกระเป๋าสะพายก่อนจะรีบเดินจ้ำออกไปจากร้าน แต่ก็ไม่ลืมที่จะตะโกนบอกลุงเฟิงว่าจะขอออกไปรอข้างนอก แม้จะเคลือบแคลงใจกับท่าทางแปลก ๆ ของหลานชายแต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมเล่าจะให้ทำอย่างไรได้เล่า จ้าวเฟิงซือลุกขึ้นจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ร้านน้ำชาจากนั้นก็เดินออกจากร้านไป
พอออกมาจากร้านได้ก็พบเห็นหลานชายเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ตอนนี้มีสีส้มอ่อน ๆ แซมมาบ้างแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าคงกำลังชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่าโบราณ แต่เขาก็คิดผิดเมื่อเสียงกริ่งของรถจักรยานและเสียงเบรกรถดังลั่นมา พร้อมด้วยเสียงตะโกนให้หลบไปของเจ้าของรถดังสนั่นขึ้นมา ทว่าทางด้านจ้าวเสียนหมิงไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลย ลุงเฟิงถึงได้แน่ใจว่าหลานชายไม่ได้กำลังชมนกชมไม้แต่กำลังเหม่อ ไม่ใช่เหม่อลอยธรรมดาแต่มันถึงขั้น
...ถอดจิตวิญญาณโบยบินไปกับสายลมและแสงแดดชัด ๆ
ตอนแรกก็คิดว่าตะโกนให้รีบหลบโดยเร็วเลยดีกว่า แต่ในวินาทีที่ป้อมปากเตรียมจะตะโกนออกไปแล้วนั้น เขากลับเห็นเหมือนมือควันสีดำเลื้อยพันรอบตัวของหลานชาย จากปลายเท้าไล่ขึ้นมาถึงบริเวณต้นคอที่เงยขึ้นมองท้องฟ้า แต่เพียงเขากระพริบตาครั้งเดียวสิ่งที่เห็นนั่นก็หายไป แทนที่ด้วยเสียงกริ่งรถจักรยานและเบรกดังสนั่นประสาทหู
“อะ..เฮ้ย เสียนหมิง กระโดดจับกบ เอ๊ยไม่ใช่! รีบหลบเร็ว! รถมาแล้วเว้ย อย่ามัวแต่ยืนหลับสิ!”
“ห..ห๊ะ!? เหวอ...!” จ้าวเสียนหมิงเบิกตากว้างสะดุ้งโหยงในทันทีที่ถูกเรียกสติมาด้วยเสียงตะโกนของลุงเฟิง ทำให้เขาได้สติรีบพุ่งตัวกลิ้งหลบไปข้างทางลงไปนั่งจับกบอยู่ที่พื้นอย่างรีบร้อน เสียงรถจักรยานดังเสียดสีกับพื้นถนน ไม่นานนักรถจักรยานสีขาวก็หยุดแน่นิ่งจนเจ้าของจักรยานโกร่งตัวไปข้างหน้าจากแรงหยุดของตัวรถ
“โอ๊ะ! หนูเหวินหย่าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ลุงเฟิงรีบถามคนรู้จักอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เกือบหน้าคว่ำเฉย ๆ น่ะค่ะ ลุงเฟิง” เหวินหย่าหรือหลี่เหวินหย่าเอ่ยตอบพลางปัดเส้นผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกจับรวบเป็นหางม้าปัดไปทางด้านขวาที่ตกมาคลอเคลียไหล่ไปด้านหลัง “ว่าแต่ลุงเฟิง เขาคนนั้นไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ เอ่อ...จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นหน้านักท่องเที่ยวเหรอคะ”
“อ้อ...นั่นหลานลุงเอง มันเพิ่งมาใหม่คงจะสำรวจเมืองเพลินน่ะ”
ลุงเฟิงแก้ต่างให้หลานชายแม้จะไม่รู้ว่าความจริงแล้วนั้นเป็นแบบที่เขาพูดหรือเปล่า
จ้าวเสียนหมิงปัดเศษฝุ่นออกจากมือของตัวเองจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี
“ขอโทษครับ พอดีผมเหม่อไปหน่อย”
“ม..ไม่เป็นไรหรอก เราเองปั่นมาไม่เร็ว แล้วก็หยุดรถทันด้วย” หลี่เหวินหย่ายิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะรีบหันกลับไปมองทางด้านลุงเฟิง “ว่าแต่ลุงเฟิงมีหลานกับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย ไม่ยักจะรู้มากก่อนเลย”
จ้าวเฟิงซือชะงักไปกับคำพูดของหลี่เหวินหย่าก่อนเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“มีคนเดียวเป็นหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลจ้าวเชียวแหละ”
“แล้วหลานลุงเฟิงมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ?”
“มาเรียนต่อน่ะ เมืองนี้มันใกล้กับมหาลัยที่เสียนหมิงมันสอบติดพอดีน่ะ” จ้างเฟิงซือตอบกลับไปก่อนจะร้องตะโกนด้วยความตกใจเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ออกมา “โอ้! ใช่ ๆ จริงด้วยสิ หนูเหวินหย่าก็เรียนมหาลัยเดียวกับหลานลุงนี่ ฮ่า ๆ ฝากดูแลมันหน่อยนะ”
หลี่เหวินหย่าพยักหน้ารับน้อย ๆ
“แต่ว่าถ้าคนที่อยู่มหาลัยเดียวกัน ต้าเกอซานก็ใช่นี่คะ”
“ฮ่า ๆ หลานลุงเจอแล้วล่ะ แต่ออกอาการไม่ชอบเสี่ยวไท้ซะอย่างนั้น”
จ้าวเสียนหมิงได้ยินดังนั้นก็แสดงอาการหน้าบึ้งออกมาทันที เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า ‘เด็ก’ ขึ้นมาได้ทันที พอมาลองคิด ๆ ก็เหมือนจะคลับคล้ายจำได้ว่าพวกลุงป้าเพื่อนร่วมวงสนทนาของลุงเฟิงบอกว่า คนที่ชื่อซานไท้หยางอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้วใช่ไหมนะ ถ้าเทียบอายุกับเขาก็ห่างกันแค่สองปีนึกยังไงเรียกเขาว่าเด็ก
หรือว่าหน้าเขาจะดูเด็กจริง ๆ
“จะเหมือนชุนเสี่ยวหรือเปล่าคะ โดนต้าเกอซานเรียกว่าเด็กก็ประกาศลั่นเลยว่าไม่ชอบ”
“เออ! ก็ไม่แน่ เสียนหมิงมันก็ไม่ชอบให้ใครเรียกว่าเด็กมาตั้งแต่สิบสามแล้วนี่ แต่ก็เข้าใจเสี่ยวไท้นะที่เรียกว่าเด็ก ก็ช่วยไม่ได้ที่ส่วนใหญ่เขาจะสนิทอยู่กับคนอายุมากเลยติดสำเนียงเรียกมาล่ะมั้ง” จ้าวเฟิงซือลองตั้งข้อสรุปขึ้นมาแบบนั้น ซึ่งทางหลี่เหวินหย่าเองพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่จ้าวเสียนหมิงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจอย่างไม่พอใจเท่าไร
“คงตามนั้นแหละค่ะ อะ! เดี๋ยวหนูต้องไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะ ลุงเฟิง”
หลี่เหวินหย่ารีบเอ่ยคำร่ำลาก่อนจะถีบตัวรถจักรยานไปข้างหน้า เหมือนเธอจะค่อนข้างรีบร้อนไม่เบาทีเดียวแป๊บ ๆ ก็ทิ้งระยะไปไกลแล้ว จ้าวเฟิงซือจึงแค่โบกมือส่งจนกระทั่งจักรยานสีขาวคันน้อยจนหายพ้นไปจากสายตา เขาหันหลังยกมือทั้งสองข้างประสานกันก่อนจะหนุนท้ายทอยพลางก้าวขายาว ๆ ตามความสูงเดินนำโดยมีจ้าวเสียนหมิงตามไม่ห่าง
“เสียนหมิง ที่ร้านกับที่ยืนเหม่อนั่นมีอะไรหรือเปล่า หลานคิดถึงบ้านเหรอ?”
“เปล่าครับ ลุงเฟิง แค่...ฝันร้ายเลยใจคอไม่ดี”
จ้าวเสียนหมิงตอบลุงเฟิงไปตามความจริงที่ตอนแรกเขากะว่าจะไม่เอ่ยปากบอกแล้ว แต่พอมันมีเหตุการณ์ที่เกือบถูกรถจักรยานชนมันก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะไม่บอก โดยตัวเขาไม่รู้เลยว่าสีหน้าของเขาที่แสดงออกมาตอนนี้มันดูกังวลและสับสนไม่น้อยจนจ้าวเฟิงซืออดเป็นห่วงตามประสาคนในครอบครัวไม่ได้
เอาตามความจริง...มันอาจจะเพราะตัวลุงเฟิงเองก็รู้สึกใจเสียที่เห็นเงาดำพันรอบหลานแบบนั้นด้วยเช่นกัน
“คนโบราณมักบอกว่า ฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ”
จ้าวเสียนหมิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมุมปากยิ้มน้อย ๆ “หวังว่างั้นครับ ลุงเฟิง”
แม้จะตอบไปแบบนั้นแต่ใจกับไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่เป็นแบบนั้นเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝันถึงเรื่องเดิม ๆ แต่เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แทนที่มันจะจบด้วยการขยับตัวไม่ได้และถูกความมืดกลืนกินจนตื่นขึ้นมาอย่างปกติ ทว่าเขากับพบว่าพอทุกสิ่งดำมืดแล้วนั้นเขายังคงหลงวิ่งไปมาอยู่ในความมืดไร้ซึ่งแสงสว่าง มองไม่เห็นเท้าตัวเองไม่เห็นอะไรเลย มันน่ากลัว...นั่นคือสิ่งที่ตัวเองในความฝันรู้สึกได้ จะวิ่งไปเท่าใดก็หนีความมืดนั้นไม่พ้น พอคิดว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยวิ่งต่อไปไม่ได้แล้วข้อเท้าก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรคว้าเข้าก่อนจะดึงจนร่างเขาล้มลงกับพื้น
และนั่นก็ทำให้เขาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางที่ทุกคนเห็นในร้านน้ำชา
ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองที่พิชิตความกลัวความมืดได้ตั้งแต่ยังเด็กจะกลับมากลัวอีกครั้งได้ หรือความจริงแล้วเขาอาจจะยังไม่สามารถเอาชนะความกลัวได้หรือเปล่า นั่นเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้เหมือนดั่งเช่นคำถามเกี่ยวกับความฝันที่ฝันถึงตั้งแต่ครั้นจำความได้ ว่าทำไมถึงเขาฝันเรื่องเดิม ๆ ซ้ำกันหลายครั้งจนรู้สึกว่ามันเหมือนฝันร้าย
“ถึงที่หมายเราแล้ว”
เสียงของลุงเฟิงดังขึ้นทำให้เขาสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง บัดนี้เขาและลุงได้มายืนอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นดูอายุเก่าแก่ซึ่งรูปแบบการสร้างมันก็คล้าย ๆ กับหลังอื่นที่อยู่ใกล้เคียง จะมีแต่ต่างหน่อยก็ที่ขนาดของตัวบ้านตรงหน้าใหญ่กว่าหลังอื่นนิดหน่อย จ้าวเฟิงซือเปิดประตูรั้วเข้าไปข้างในโดยไม่ลืมจะหันกลับมากวักมือเรียกหลานชายเข้าไปข้างใน ซึ่งภายในบ้านนั้นก็ยังดูเก่าแก่เหมือนกับข้างนอกไม่มีผิด
นี่ยังดีที่มันยังดูไม่โทรมมากไม่งั้นคงได้จินตนาการว่ามีอะไรนอกจากมนุษย์อาศัยอยู่ซะแล้ว
จ้าวเฟิงซือเดินขึ้นชั้นสองนำหลานไปที่ห้องซึ่งเขาได้จัดเตรียมเก็บข้าวของรก ๆ ส่วนใหญ่ไว้เตรียมรับมาอยู่ด้วยตั้งแต่วันแรก ๆ ที่คุยกับน้องชายเรื่องที่จะฝากหลานมาอยู่ด้วยจนกว่าเจ้าตัวจะเรียนจบ ซึ่งเขาก็ยินดีมากที่จะได้สมาชิกในบ้านเพิ่มมาอีกสักคน นึกแล้วก็ขำที่รีบจัดแจงบ้านช่องตั้งแต่วันที่ได้รับข่าวเลยทีเดียว
“เสียนหมิง จัดของไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวลุงจะลงไปทำข้าวเย็น”
“ครับ ๆ” จ้าวเสียนหมิงตอบรับคำแล้วเริ่มลงมือนำของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา ลุงเฟิงมองหลานรักอยู่สักพักแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ต้องการอะไรจึงเตรียมจะเดินกลับลงไปทำข้าวเย็น แต่ก็ถูกหลานชายทักขึ้นมาจนต้องชะงัก “ลุงเฟิง อย่าทำข้าวไม่สุก กับดำปิ๊ดปี๋มาให้ผมทานเชียวนา”
“เออ ๆ ไอนี่! ลุงไม่ทำอะไรแบบนั้นออกมาให้เสียชื่อหรอก ฮ่า ๆ ครัวลุงเฟิงวันนี้ขอเสนอเมนูพิเศษให้แกเลย”
ลุงเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นจากนั้นจึงโบกมือและเดินกลับลงไปด้านล่าง ทิ้งให้หลานรักกลับไปจัดการกับข้าวของที่เขาควรจะเก็บยัดใส่ตามที่ต่าง ๆ ที่ตัวเองคิดว่าจะหยิบออกมาใช้ได้โดยไม่ต้องวุ่นวายหาให้ปวดหัว เขาเร่งมือจัดข้าวของจนตอนนี้มีตกค้างอยู่ในกระเป๋าแบบประปรายเท่านั้น
ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนที่ลุงเฟิงเดินขึ้นมาตามให้เขาลงไปกินข้าวเย็น เขาจึงผละออกจากกระเป๋าเดินตามลุงเฟิงไปข้างล่าง เดินทะลุห้องนั่งเล่นไปก็กลายเป็นห้องรับประทานอาหารที่มีครัวอยู่ในตัวทันที จ้าวเสียนหมิงเดินตรงไปที่โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกลางซึ่งจัดที่นั่งไว้สองตัวด้านตรงข้ามกัน ยืนรอให้ลุงเฟิงนั่งประจำที่เรียบร้อยเขาจึงนั่งลงจัดท่านั่งของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
จากนั้นเขาจึงเริ่มสำรวจอาหารบนโต๊ะไม้ ซึ่งกับข้าวบนโต๊ะนั้นเป็นเมนูที่เน้นผักซะเป็นส่วนใหญ่ ทำเอาเด็กเมืองอย่างจ้าวเสียนหมิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จะให้บรรยายสภาพอาหารเย็นมันคือ สารพัดเมนูผักเลยไม่ใช่หรือ มีทั้งผัดผักบุ้ง ผัดเปรี้ยวหวาน ต้มจืดตำลึงและผัดถั่วงอก ครั้นพอจะหันไปถามลุงเฟิงว่าทำไมมันมีแต่ผักเขาก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะหัวเราะดังลั่น
นี่มันแกล้งกันใช่ไหม! ไอเมนูสารพัดผักนี่คือแกล้งกันสินะ!?
“อะไรเล่า ไม่รู้ว่าพ่อแม่แกเลี้ยงเอาอะไรให้กินนะ แต่อยู่กับลุงต้องเน้นสุขภาพจะได้โตเร็ว ๆ ฮ่า ๆ”
จ้าวเสียนหมิงไม่ได้ตอบอะไรเขานั่งลงที่โต๊ะหยิบตะเกียบเขี่ยพวกผักในจานกับข้าว ว่ามันพอจะมีเนื้อผสมอยู่ในนั้นบ้างไหม และเขาก็ได้พบความจริงอีกอย่างเข้า นั่นคือ...มันมีแต่ผักล้วน ๆ ไม่มีเนื้อผสม เมนูอาหารถูกใจหนอนจ๋า ทุกเพศทุกวัยต้องอาหารครัวลุงเฟิง
“ลุงเฟิง ผมไม่ใช่หนอนนะเฮ้ย”
“อ้าว ๆ งั้นที่พ่อแกบอกแกไม่ชอบกินผักนี่ก็เรื่องจริงอะสิ”
ลุงเฟิงหัวเราะฮิฮะใส่อย่างมีความสุขกับการแกล้งหลานชาย ขณะที่จ้าวเสียนหมิงได้แต่ทิ้งกายแบบเหนื่อยล้าลงกับพนักพิงของเก้าอี้ ก็จริงอย่างที่ลุงเฟิงว่าเรื่องเขาไม่ชอบกินผัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากินไม่ได้สักหน่อย ทว่าไอเมนูหนอนจ๋าแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เขามองจานผักตรงหน้าจ้องมันเขม็งยกตะเกียบขึ้นสูงในท่าเตรียมจกลงไปในจาน
เหงื่อเม็ดน้อยใหญ่เริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้าของชายหนุ่ม เขาจับจ้องไปที่จานผักที่แม้จะส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจเพียงใด แต่พอมันเป็นผัก! เขาก็ต้องเริ่มคิดหนักยิ่งมีเสียงเหมือนล้อเลียนของลุงเฟิงดังแทรกมาด้วยแล้ว สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าพุ่งปลายตะเกียบลงไปบนจานผักก่อนจะคีบมันขึ้นมากลั้นหายใจยัดใส่ปาก ลุงเฟิงที่ดูทุกอากัปกิริยาพลันหัวเราะท้องแข็งไม่คิดเลยว่าจะแกล้งหลานได้ถึงขนาดนี้
“ลุงเฟิงอย่าหัวเราะผมสิ! เห็นผมเป็นหนอนหรือไงจะถึงกินผักอย่างมีความสุขเนี่ย”
ถึงจะตะโกนออกไปแบบนั้นด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ แต่ลุงเฟิงไม่ได้มีท่าทางว่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย มีแต่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นใส่จนรู้สึกหงุดหงิด จ้าวเฟิงซือพยายามกลั้นหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวหลานชาย
“เอาน่า ๆ กินผักเยอะ ๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง”
จ้าวเสียนหมิงทำหน้าบอกบุญไม่รับพลางอมปลายตะเกียบไว้ในปาก เขากรอกตาหลบไปทางอื่นก่อนจู่ ๆ จะไอแค่ก ๆ รีบลุกขึ้นยืนอย่างปุบปับทำท่าเหมือนกับคันคอของตัวเอง ก่อนจะล้มลงไปชักดิ้นชักงอทุรนทุรายอยู่บนพื้น ทันทีที่เห็นท่าทางแบบนั้นของหลานรักลุงเฟิงแตกตื่น ลุกขึ้นพุ่งตัวลงไปจับตัวหลานไว้
“เฮ้ย! เสียนหมิงแกแพ้อะไรหรือเปล่าเนี่ย ทำใจดี ๆ ไว้นะ! เดี๋ยวลุงพาไปโรง’บาลเดี๋ยวนี้เลย!”
“แค่ก ๆ ล..ลุงเฟิง ผม...ผมอยาก...แค่ก!”
“อยากอะไร เสียนหมิง นี่แกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย! เฮ้ย! เสียนหมิงอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ”
“แค่ก...แค่ก...ผม...ผม...”
“อยากได้อะไรบอกลุงมาเลย แกแค่อย่าเป็นอะไรไปนะ เดี๋ยวลุงจะพาไปโรง’บาล!”
ทันทีที่ได้ยินประโยคคำพูดนั้นของลุงเฟิง มุมปากของจ้าวเสียนหมิงก็เริ่มยกขึ้นและคลี่กว้างขึ้นช้า ๆ โดนที่ชายวัยกลางคนไม่ได้ทันสังเกต “ผม...ผม...ผมไม่อยากกินผักทุกวันอะลุง ผมรู้ว่าลุงคงไม่ยอม แต่งั้นเอาประมาณผักหนึ่งเมนูต่ออาทิตย์ได้เปล่าครับ ไม่ใช่บนโต๊ะมันมีแต่เมนูผักล้วน ๆ ไม่มีเนื้อผสมแบบนี้อะ”
หมดอารมณ์กับมันเสียจริง
“โอ๊ย!”
จ้าวเฟิงซือวางหลานไม่รักดีลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนอีกฝ่ายร้องโอ๊ยออกมา ยืนเกาหัวแก๊ก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลงเชื่อว่ามันจะเป็นอะไรไปจริง ๆ คิดแล้วมันก็อยากจะฟาดสันมือลงกลางกระบาลเจ้าตัวสักทีสองที ฝ่ายจ้าวเสียนหมิงก็เด้งตัวลุกขึ้นมาฉีกยิ้มมุมปากแลดูเจ้าเล่ห์ไม่ใช่น้อยมาให้ คำพูดนั้นหากยังไม่พูดออกไปเราย่อมเป็นนาย แต่หากได้ขานออกไปจะกลืนคำพูดก็คงไม่ได้
“หน๊อย! มาหลอกลุงได้ ลุงเป็นห่วงแทบตาย! เออ...ยอมแกเลยจริง ๆ แต่ขอเปลี่ยนจากต่ออาทิตย์เป็นต่อวันได้ไหมล่ะ?” จ้าวเสียนหมิงนิ่งไปครู่หนึ่งทำท่าเหมือนคิดหนัก ลุงเฟิงเลยถือโอกาสเอ่ยต่อ “อย่างน้อยลุงจะได้รู้สึกว่าดูแลแกดี สุขภาพแข็งแรงกินครบห้าหมู่ ป๊าแกจะได้ไม่มาบ่นลุงไง”
“โอเค ๆ ผมยอมลุง ตราบใดที่ลุงไม่คิดจะเลี้ยงผมเป็นหนอนแก้วน่ะนะครับ”
จ้าวเสียนหมิงตอบพลางพากันกลับไปนั่งกินข้าวเหมือนเดิม ซึ่งก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ส่วนใหญ่จะมาจากลุงเฟิงเองก็ตาม พอรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อยสองลุงหลานก็พากันช่วยกันล้างจานทำความสะอาดเก็บเข้าที่ก่อนจ้าวเสียนหมิงจะขอเดินกลับไปจัดของต่อ ส่วนทางฝ่ายลุงเฟิงก็บอกว่าจะไปเตรียมน้ำร้อนให้อาบ นั่นทำให้เขาและลุงเฟิงแยกย้ายกันไปคนละทาง
พอขึ้นมาถึงชั้นสองเขาก็กลับไปนั่งจัดของเก็บเข้าที่จนเสร็จเรียบร้อยในเวลาประมาณสิบนาทีได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนเก็บกระเป๋าของตัวเองยัดใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนสีเทาของตัวเองพาดบ่ากำลังจะเดินลงไปชั้นล่าง หางตาพลันเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนกอดอกเงยหน้าขึ้นมามองมาทางตนจากถนนเบื้องล่าง เพราะยามนี้ตะวันติดดินแล้วแถมยังเป็นคืนแรมซะด้วย มันจึงทำให้ภายนอกนั้นมืดสนิทกว่าปกติแม้จะมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็ดูท่าจะไม่ค่อยช่วยให้มองเห็นเท่าไร
เขาพยายามจะมองให้รู้ว่าเป็นใครแต่เหมือนอีกฝ่ายจะมองเห็นเขาเช่นกัน
ร่างที่ยืนกอดอกพิงหลบซอกกำแพงจึงได้เดินถอยหนีหายไปในเงามืด จังหวะเดียวกับตอนที่เขามาเกาะริมขอบหน้าต่างพอดี ตอนนี้ถนนเบื้องล่างจึงเหลือเพียงแค่ความมืดและว่างเปล่า จ้าวเสียนหมิงขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัยเกี่ยวกับใครบางคนที่มายืนจ้องบ้านใหม่ของเขาในเวลายามนี้กัน ถึงจะสงสัยยังไงแต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนดังเช่นคำถามอื่น ๆ ชายหนุ่มแซ่จ้าวจึงได้แต่ถอนหายใจจากนั้นจึงเดินลงไปชั้นล่าง
โดยทันทีที่เขาเหยียบพื้นของชั้นล่างลุงเฟิงก็เดินออกมาพอดิบพอดี
“อ้าว...กำลังจะไปตามเลย ห้องน้ำใช้ได้แล้วนะ เสียนหมิง อาบก่อนลุงเลยเดินทางมาเหนื่อย ๆ”
“ครับ” จ้าวเสียนหมิงตอบรับจากนั้นจึงเดินไปทางที่เห็นว่าลุงเฟิงเดินออกมา แต่เขากลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อยเรื่องที่มีคนแปลก ๆ ยืนจ้องบ้านอยู่ สุดท้ายก็เลยหยุดชะงักหันกลับมาหาลุงเฟิง “เอ้อ...ลุงเฟิงครับ เมื่อกี้ผมเห็นใครไม่รู้ยืนอยู่นอกบ้านด้วย แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้วผมกลัวจะเป็นโจร...”
“ไม่หรอกมั้ง ลุงว่าคงเป็นคนแถวนี้นั่นแหละ เสียนหมิงเอ๋ย คิดมากแล้วที่นี่ไม่ใช่เมืองใหญ่คงไม่เป็นไรหรอก”
“ถ้าลุงเฟิงว่างั้นผมก็ไม่อะไรหรอกครับ งั้น...ผมไปอาบน้ำแล้วนะครับ”
จ้าวเสียนหมิงตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ในใจรู้สึกไม่สงบ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ในเมื่อคำยืนยันจากลุงเฟิงย่อมมีน้ำหนักไม่ใช่น้อย เขาจึงต้องปักใจเชื่อตามนั้นทั้งที่ใจยังค้าน เหมือนกับตัวเขามีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่เตือนว่าสิ่งที่เขาได้พบในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝันที่เพิ่มความแปลกประหลาดมากขึ้น หรือคนที่เขาพบเห็นเมื่อสักครู่ต้องมีอะไรแน่ ๆ
แค่ตอนนี้...เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ผู้แต่ง : Nutta' D?ufu
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | บทที่ ๑ : ย่างก้าวสู่เมืองเก่า | 25 ม.ค. 59 |
2 | บทที่ ๒ : ปฎิบัติการผูกมิตรสร้างสหาย | 08 มี.ค. 59 |
3 | บทที่ ๓ : คำเตือนที่เต็มไปด้วยความสงสัย | 14 มี.ค. 59 |
4 | บทที่ ๔ : ความหมายหลบซ่อนที่แท้จริง | 21 มี.ค. 59 |
5 | บทที่ ๕ : ชายหนุ่มผู้เก็บงำบางสิ่งบางอย่าง | 30 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
อื่นๆ ของคุณไม่ค่อยเป็นปัญหาแล้ว ไอเดียน่าสนใจ และมีเรื่องที่อยากเล่า ขาดแต่จังหวะการดำเนินเรื่อง ซึ่งน่าจะเร่งขึ้นได้อีกนิดหน่อย แต่นี่เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ ต้องใช้เวลา ดังนั้นอย่าเพิ่งกังวลตอนนี้เลยนะ เพียงแต่จากนี้ต่อไปขอให้ใส่เรื่องการเล่าเรื่องเป็นพิเศษ เวลาอ่านนิยายของคนอื่น ให้คอยดูว่าเขาดำเนินเรื่องอย่างไร ละอะไรไปบ้าง แล้วพยายามเน้นหรือใส่อะไร
สู้ๆ นะ
ลวิตร์