EN03 ???? (M?ngy?n zh?m?) : ปริศนาลับไขดวงชะตา

ใครจะไปคิดว่าการที่เขาย้ายมาอยู่กับลุงด้วยเหตุจำเป็นอย่างว่าที่นักศึกษา จะเป็นการกระตุ้นคำสาปจากความฝันให้ตื่นขึ้น ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขาจึงได้เริ่มไขกระจ่าง พร้อมกับเวลาชีวาที่นับถอยหลัง..

ผู้แต่ง

Nutta' D?ufu

0%

ตอนที่ 1/5 : บทที่ ๑ : ย่างก้าวสู่เมืองเก่า

ปฐมบท

 

 

มันเป็นภาพที่เขามักฝันเห็นบ่อย ๆ ในทุกครั้งที่หลับตานอน...

เขาจดจำมันได้ดีถึงภาพของบันไดหินสีดำที่เย็นเฉียบจนสะท้านขั้วหัวใจ ยามแผ่นเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสพื้นหินอ่อนของสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีสายลมหนาว ๆ เสียดสีกับผิวกายพร้อมกับอาการหายใจลำบากคล้ายกำลังปีนภูเขา เสียงดังแก๊ก ๆ ของโลหะเย็นใช้คล้องมือของนักโทษบริเวณข้อมือของเขานั้นถูกเชื่อมโยงไปด้านหน้า พอเหลือบมองขึ้นไปก็พบกับร่างของหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังเดินนำอยู่

เขาเคยนึกคิดสงสัยว่าทำไมตนเองถึงได้ฝันแบบนี้บ่อยนัก แต่กลับไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้สักครั้ง

มันเพราะอะไรกันนะ?

ครืด!

“อึก! เจ็บ!

ปลายโซ่เหล็กถูกดังกระชากอย่างแรงดึงตัวเขาพุ่งไปข้างหน้า พร้อมทั้งสร้างความเจ็บปวดให้จากแรงกระแทกของตัวโครงเหล็กล็อคระหว่างแขนกับข้อมือของเขา เนื่องจากความหนาวมันจึงทำให้ช่างรู้สึกเจ็บระบมไม่ใช่น้อย เมื่อเดินขึ้นมาถึงยอดบนสุดของสถานที่ปริศนาแห่งหนึ่งเขาก็พบว่าบนนี้มีลานกว้างทำจากหินแกะสลักแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งภายในปรากฏรูปของมังกร หงส์ เสือและเต่าตามลำดับ ตัวเขานั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เลยสักนิด...

แต่น่าแปลกใจเมื่อรู้สึกว่าการมาเยือนสถานที่แห่งนี้นั้นไม่ได้เป็นเรื่องน่ายินดีเท่าไรนัก

เขาถูกปลายโซ่ดึงกระชากมาอยู่ในจุดหินแกะสลักพวกนั้น ก่อนจะเหลือกไปเห็นภาพบางอย่างผ่านเส้นผมที่ตกลงมาปกหน้าว่าคนหัวแถว โดยเขาคาดว่า...น่าจะเป็นผู้ชายจากการแต่งตัวรูปร่างสูงโปร่งเกินผู้หญิงถูกเตะเข้าบริเวณหัวเข่าจนต้องคุกเข่าลง ไร้การเอ่ยคำสั่งใด ๆ คนที่อยู่ถัดจากชายคนนั้นอีกสองคน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นหญิงสาวทั้งคู่ก็พลันนั่งคุกเข่าลงตาม ตัวเขาเองไม่ได้นึกอยากนั่งคุกเข่าเลยสักนิดแต่ร่างกายกลับขยับนั่งคุกเข่าลงไปเองเสียอย่างนั้น

ทำไมถึงเป็นแบบนี้...ทำไมร่างกายของตัวเองถึงไม่ฟังคำสั่ง!

ต๊อก! ต๊อก!

ขณะคิดถามตัวเองอยู่เขาก็ได้ยินเสียงปริศนาคล้ายกับบางสิ่งกระทบพื้นหินส่งเสียงดังขึ้นจากบริเวณบันไดที่เขาเดินขึ้นมา เสียเวลารอไม่นานนักเจ้าของเสียงพลันปรากฏกายขึ้นเป็นชายชราร่างโค้งงอเดินถือไม้เท้า นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้สังเกตเห็นกลุ่มชายและหญิงวัยกลางคนกลุ่มหนึ่งเบื้องหน้าของตน ทั้งหมดกำลังโค้งทำความเคารพการมาเยือนของชายชราก่อนหนึ่งในนั้นจะผายมือไปทางด้านเขาซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่

ชายชราพยักหน้าเล็กน้อยก่อนสาวเท้าเดินอย่างเชื่องช้ามาหยุดยืนอยู่หน้าเบื้องหน้าพวกเขา

“อย่ากลัวไปเลย..เด็กน้อย...ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อจะผูกดวงชะตาของพวกเจ้า”

ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งก่อนจะกระแทกปลายไม้เท้าลงบนพื้นหิน ฉับพลันวงเวทย์แสงสีขาวได้ปรากฏขึ้นล้อมรอบจุดหินแกะสลักอันมีตัวเขาและคนอื่น ๆ นั่งคุกเข่าอยู่ ขณะนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงสายลมอ่อน ๆ พร้อมกับกลิ่นหอมรัญจวนแตะปลายจมูก ซึ่งมาจากกลีบดอกท้อที่กำลังปลิววนรอบออกมาจากวงแหวน

กลิ่นแบบนี้น่าจะทำให้ผ่อนคลาย

แต่ทำไมกลับรู้สึกโศกเศร้าเหมือนกำลังจะโดนพิพากษาอะไรสักอย่างนัก

...ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนั้นเกิดขึ้นเช่นกัน

“ในนามของผู้เฒ่าแห่งหุบเขาท้อพันปี ข้าจักขอผูกดวงชะตาของบุคคลทั้งสี่นี้ ไม่ว่าจะไปที่แห่งหนใดห่างไกลกันสักเพียงไหน พวกเขาทั้งหมดจักต้องมีเรื่องให้โคจรมาพบกัน เพื่อชดใช้ซึ่งความผิดที่กระทำ คำพูดนี้จักเป็นหมือนดังคำสาบานติดตามตัวของพวกเจ้าทั้งสี่ไปตลอดกาล”

สิ้นเสียงของผู้เฒ่าแห่งหุบเขาท้อพันปีพลันวงแหวนเวทย์ก็เปร่งแสงสว่างวูบจ้าออกมา ก่อนวงเวทย์นั้นจะสลายหายไปกลายเป็นกลีบดอกท้อสีชมพูอ่อนลอยขึ้นสู่ท้องนภา ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกแปลกใจตัวเองนักเพราะเขาไม่เข้าใจว่าคำพูดของผู้เฒ่าคนนี้ต้องการสื่ออะไร จึงได้แต่นั่งก้มหน้าแบกความรู้สึกสงสัยและอึดอัดราวแบกภูเขาทั้งลูกไว้ในอก คำพูดพวกนี้มันต้องการอะไรเขาไม่รู้...

รู้เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับและแสดงความนึกคิดของตนเองออกมาได้เลย

ทำไมกันนะ... คำถามนี้ดังอยู่ในหัวของเขาวนซ้ำไปซ้ำมา

คิดสงสัยไปมันก็เท่านั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเขาก็พบกับร่างสูงใหญ่ดูน่าเกรงขาม บวกกับรอยแผลเป็นตามแขนบ่งบอกถึงการผ่านศึกสงครามมานับร้อยยิ่งเพิ่มความทรงอำนาจให้กับตนมากยิ่งขึ้น พอจะพยายามมองสังเกตใบหน้าของเจ้าของร่างนั้นเขาก็พบเพียงแสงสว่างจ้าปิดบังใบหน้าจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดคล้ายกับกำลังจ้องหลอดไฟฟ้าอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่ร่างชายปริศนา แต่คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เองก็มีใบหน้าอันขาวโพลนและเปล่งแสงสว่างจ้าเช่นเดียวกัน

เขาเห็นเจ้าของร่างสูงใหญ่เดินสาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าหัวแถว

“จักขอเริ่มพิพากษาโทษของนักโทษทั้งสี่บัดเดี๋ยวนี้”

ร่างนั้นประกาศกร้าวซึ่งทันใดที่เอ่ยจบประโยค บริเวณด้านหน้าของตัวเองก็มีร่างสูงสง่าสาวเท้าเดินมายืนประจำอยู่เบื้องหน้า และไม่ใช่แค่ตนเท่านั้นคนอื่นที่อยู่ถัดไปอีกสองคนเองก็ได้มีคนยืนอยู่ด้านหน้า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลใดทันทีที่เห็นว่ามีคนยืนอยู่ตรงหน้า เขากลับรู้สึกเหมือนความหนักอึ้งที่มีอยู่ในใจพลันทวีคูณมากขึ้น

อาจจะเป็นเพราะ...ฐานะที่เขาเห็นตัวเองเป็น นักโทษ!’

“โทษของพวกเจ้ากระทำผิดนั้นหนักหนานัก และทำให้พวกข้าไม่มีทางเลือกนอกจากพิพากษาไปตามเนื้อความ สิ่งที่กระทำนั้นใหญ่หลวงนักสามารถก่อปัญหาให้แก่พิภพได้ทุกอาณาบริเวณ แม้พวกเจ้าจะไม่ได้เจตนาก็ตาม ซึ่งโทษที่พวกข้าได้ลงความเห็นกันออกมาคือ ส่งพวกเจ้าทั้งสี่ไปเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยจนกว่าจะแก้ไขสิ่งที่พวกเจ้ากระทำผิดได้ หากทำไม่สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด พวกเจ้าจะต้องมีอันเป็นไปทันทีและวนลูปกลับเป็นเฉกเช่นนี้ตลอดกาล”

น้ำเสียงที่ฟังดูหนักแน่นกล่าวออกมา ก่อนเขาจะเหลือกหางตาไปเห็นว่าร่างสูงใหญ่ได้ยื่นปลายนิ้วชี้จิ้มเข้าบริเวณที่น่าจะเป็นกลางหน้าผากของคนหัวแถว พลันกับเหมือนเห็นแสงสว่างสีน้ำเงินพุ่งออกจากปลายนิ้วนั้น ก่อนร่างของคนหัวแถวจะสลายกลายเป็นละอองเปล่งแสงสีน้ำเงินล่องลอยขึ้นไปบนท้องนภา โซ่ตรวนที่เคยคล้องอยู่บนข้อมือตกลงกระทบพื้นดังสนั่น ภาพที่เกิดขึ้นนั้นปรากฏอยู่ในสายตาของเขาทุกกระบวนท่า

ซึ่งพอเห็นแบบนั้นน้ำตาของเขากลับเพิ่มพูนจนเอ่อล้นไหลลงอาบแก้ม

ทำไมถึงรู้สึกหนักอึ้งหายใจไม่ออกเหมือนกับถูกผูกติดกับหินและโยนถ่วงน้ำกันนะ

ทั้งที่รู้สึกตัวดีว่ากำลังฝันอยู่แต่ทำไมเขากลับไม่สามารถบังคับให้ตัวเองตื่นได้ จังหวะที่กำลังสับสนอยู่เขาก็สัมผัสได้ว่าคนเบื้องหน้าได้ชี้นิ้วจิ้มไปยังหน้าผากของเขา เหมือนกับถูกกระแสไฟฟ้าหลายแสนโวลต์แล่นช็อตผ่านไปในโซนสมอง ไล่ความเจ็บปวดแทบปานตายไปทั่วทุกส่วน เขาเงยหน้าขึ้นเบิกตากว้างรู้สึกได้ว่าร่างกายทุกส่วนมันหนักอึ้งไปหมดแถมยังมีอาการชาสะท้านไปทั่วตัว

นั่นเป็นความรู้สึกนึกคิดที่เขารับรู้ได้สุดท้ายก่อนที่ภาพทั้งหมดจะกลายเป็นสีดำมืด

...และพบว่าตัวเองตื่นขึ้นในเวลาต่อมา

=================================================================================

บทที่ ๑

ย่างก้าวสู่เมืองเก่า

 

 

 

พรึ่บ!

ชายหนุ่มร่างสูงลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วหากว่าแถวนี้มีใครกำลังสังเกตเขาอยู่ คงได้มีอันตกใจจนถอยหลังหนีเป็นแน่ เขานั่งนิ่งกระพริบตาถี่ ๆ อยู่สักพักพอได้สติเขาจึงเริ่มกวาดนัยน์ตาเรียวสีฟ้าอมเทาไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจว่าตนเองอยู่ที่ใด คำตอบที่ได้ก็คือเขากำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางสายหนึ่งซึ่งกำลังแล่นผ่านถนนอันขรุขระ ทำให้ตัวของเขากระเด้งขึ้นจนหัวกระแทกชนขอบหน้าต่างทุกครั้งที่รถตกหลุม

ชายหนุ่มถอนหายใจลูบบริเวณที่ถูกกระแทกหวังให้คลายความเจ็บปวด เขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไรกับอาการบาดเจ็บแบบนี้ เพราะมันก็บอกได้ว่าอย่างน้อยความเจ็บนี้มันก็ทำให้เขาโล่งใจได้ว่ากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงแล้ว

...ไม่ใช่กำลังหลับอยู่ในฝันประหลาดที่ตัวเองเหมือนนักโทษโดนประหารแบบนั้น

เขาจัดท่านั่งของตัวเองให้หลังตรงพิงเบาะ ก่อนจะเริ่มจัดการกับเส้นผมสีเทาดำซอยสั้นประต้นคอซึ่งบัดนี้เจ้าผมที่ปล่อยเป็นหน้าม้านั่นได้ตกลงมาปกตาจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว เขาปลดกิ๊บติดผมสีขาวที่คาค้างอยู่บนเส้นผมออก จากนั้นจึงค่อย ๆ สางผมด้านซ้ายส่วนที่ปิดการมองเห็นกลับขึ้นไป แล้วจึงจับกิ๊บที่ปลดออกมาสองตัวนั้นกลัดมันไม่ให้ร่วงลงมาอีกรอบ พอเช็คว่าจัดแจงตัวเองเสร็จเรียบร้อย

เขาจึงหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถซึ่งฉายภาพของวิวทิวทัศน์เป็นภาพของบ้านไม้สไตล์จีนโบราณที่ดูอายุเก่าแก่หลายหลังข้างทาง ชวนให้รู้สึกเหมือนเขากำลังย้อนอดีตเหยียบย่างกายเข้ามาภายในเมืองเก่าในช่วงยุคสมัยก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่งชมวิวได้ไม่นานรถประจำทางที่เขานั่งอยู่ก็จอดลงหน้าป้ายรอรถ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้และกระเป๋าสะพายขึ้นแบกเดินลงจากรถ

พอลงมาเสร็จเขาก็รีบหันซ้ายหันขวาหาใครบางคนที่น่าจะรอรับเขาอยู่ เมื่อยังไม่เห็นวี่แววว่ามีคนที่รับปากกับเขาเมื่อคืนตอนคุยโทรศัพท์กันว่าจะมารออยู่แถวนี้ เขาจึงถอนหายใจอีกครั้งล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า เลื่อนปลดล็อคหน้าจอระบบสัมผัสออกเพื่อกดเลื่อนหาเบอร์ของคนที่ต้องการ

ขณะที่กำลังเลื่อนหาเบอร์โทร.อยู่ดี ๆ เขาก็ต้องสะดุ้งโหยง

“โฮ้...มาจนได้นะ เสียนหมิง คิดว่าหลงหาของป่ากินซะแล้ว”

เขาหันไปทางต้นเสียงคำทักทายที่ฟังดูคุ้นหูนั่นก่อนจะพบกับชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ดูแข็งแรงกำยำ ในชุดถังจวงสีน้ำตาลออกเหลือง ๆ หน้าผากผูกผ้าสีขาวกำลังวิ่งมาพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้ เสียนหมิงหรือจ้าวเสียนหมิงคลี่ยิ้มออกมาน้อย ๆ พร้อมเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าก่อนยกมือขึ้นป้อมปากข้างโบกมือตอบข้าง

“โอ๊ะ! ลุงเฟิง อยู่นี่เองเหรอครับ พูดงี้ผมก็ว่าจะโทร.ไปจิกตามลุงอยู่พอดีเลย”

“เออ ๆ ไม่ต้องโทร.จิก แกเป็นนกรึไงวะ เสียนหมิงน้อย”

ลุงเฟิงหรือชื่อแซ่เต็ม ๆ คือ จ้าวเฟิงซือ ผู้เป็นญาติทางฝ่ายพ่อพุ่งเข้ามาล็อคคอหลานชายของตน จากนั้นจึงลงมือขยี้หัวของอีกฝ่ายจนผมเผ้าที่จัดทรงมาตอนอยู่บนรถประจำทางเป็นอันต้องยุ่งฟูไม่เป็นทรงอีกครั้ง โดยทางด้านจ้าวเสียนหมิงเองก็ใช่ว่าจะยอมเสียหล่อตอนนี้ เขาพยายามดันมือของลุงเฟิงออกแม้มันจะไม่ขยับเนื่องจากแรงที่มีไม่เท่ากัน

ก็แน่แหละ! มันจะเท่ากันได้ไงในเมื่อตัวเขาตัวเล็กกว่าผู้เป็นลุงขนาดนี้

“เฮ้ย! ไม่เอา...ลุงเฟิงไม่เอาเว้ยครับ อายเขา! หยุดขยี้หัวผมเลยนะ”

“อะไรว้า! ไม่เจอกันตั้งนาน นี่แกกล้าปฎิเสธลุงแกเหรอ ตัวเล็ก”

“เฮ้ย! ใครว่าผมตัวเล็กลุงเฟิง ถอนคำพูดเป็นผมแค่โตช้าเพราะแคลเซียมไปเลี้ยงกระดูกไม่ทันต่างหากเลย”

คำว่าแค่โตช้าของหลานชายทำให้จ้าวเฟิงซือหัวเราะลั่น แม้จะเห็นว่าหลานชายเป็นคนตัวสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรขึ้นได้แต่ขนาดหุ่นนี่ก็ยังถือว่าผอมพอควรเลยทีเดียว  ซึ่งพอเทียบกับตัวเขาที่ออกจะร่างใหญ่กว่าอีกฝ่ายไปหน่อยมันก็อดไม่ได้ที่จะเรียกว่า ตัวเล็ก นี่เขาผิดหรืออย่างไรกัน

“แกมันผอมเลยตัวเล็กมากกว่าฉันไง ฮ่า ๆ ยอมรับสักทีเถอะ เสียนหมิงเอ๋ย”

“พอเลยลุง! ผมไม่ได้ทำงานหนักแบบลุงนี่จะได้ตัวใหญ่เป็นยักษ์แบบนั้น”

“บ๊ะ! ไอนี่ ลุงไม่ได้เป็นยักษ์สักหน่อย พูดจายอกล้อลุงให้ได้ยังงี้ตลอดเลย ให้ตายสิ!

จ้าวเฟิงซือพูดพร้อมระเบิดหัวเราะออกมาดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจอะไร แต่ฝ่ายจ้าวเสียนหมิงดูจะไม่ได้มีความสุขกับเสียงหัวเราะเขาด้วยเลย ใบหน้าของเขาบึ้งตึงบอกบุญไม่รับโยนบุญก็ไม่เอาเลยทีเดียว ทว่าถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เจ้าตัวก็เดินตามผู้เป็นลุงไปไม่ทิ้งห่าง อาจจะเป็นเพราะการมาเยือนเมืองใหม่ที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่ทราบที่ทางของมันก็เป็นได้

ทว่า...พอนึกถึงเหตุผลที่ทำให้ตัวเองต้องย้ายจากเมืองใหญ่มาที่นี่ มันก็ด้วยเพราะระยะทางจากเมืองนี้ไปยังมหาลัยที่เขาสอบติดในโค้งสุดท้ายมันใกล้กว่าเมืองที่ตัวเองอยู่ก่อนหน้านัก และที่นี่ก็ยังมีญาติซึ่งไว้ใจได้อย่างลุงเฟิงอยู่ด้วยมันจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเท่าไร พ่อและแม่ที่อยู่เมืองใหญ่จึงกล้าปล่อยให้เขามาที่นี่แทนจะไปเช่าหออยู่

“สนใจจะเดินชมรอบ ๆ เมืองหน่อยไหมล่ะ เสียนหมิง”

“ไว้วันหลังนะครับ ลุงเฟิง ผมเพลียอะ ขอแค่เส้นทางหลักที่ทำให้ผมเดินหลงแล้วกลับบ้านถูกก็พอ”

“ก็ได้ ๆ เส้นทางหลักไปบ้านลุงมันก็มีไม่กี่สายหรอก เอางี้ระหว่างทางกลับบ้านลุงจะแนะนำทางด้วยล่ะกัน”

“ผมยังไงก็ได้แล้วแต่ลุงเฟิงเหอะ”

น้ำเสียงอิดโรยของจ้าวเสียนหมิงทำให้ลุงเฟิงหัวเราะออกมาเสียงดัง พลางขยี้หัวหลานชายที่ตอนนี้มันยิ่งยุ่งจนอีกฝ่ายขี้เกียจจะจัดทรงผมใหม่อีกครั้งไปด้วย แต่ถึงจะรู้สึกว่าไม่อยากจัดแล้วยังไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเพราะทนความรำคาญผมหน้าม้าที่ลงมาบดบังการมองเห็นไม่ไหว เขาก็ต้องปลดกิ๊บออกมาและสางเส้นผมกลับไปกลัดไว้ตามเดิมอยู่ดี

สองลุงหลานแซ่จ้าวพากันเดินผ่านทางมาเรื่อย ๆ โดยที่จ้าวเฟิงซือก็ถือโอกาสแบบนี้แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ไปด้วยตามที่บอกกับหลานเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางหลักของเมืองที่มีทั้งถนนและคลองหลายสาย สถานที่ต่าง ๆ ภายในเมือง ซึ่งทางจ้าวเสียนหมิงเองก็ดูจะตื่นเต้นกับบ้านเมืองทำจากดิน ไม้ และปูนที่มีอายุเก่าแก่ภายในตัวเมือง โดยส่วนใหญ่จะมีเส้นทางติดต่อกับคลองไปเสียหมด จนต้องมีสะพานสร้างขึ้นมาเป็นทางเท้าและโค้งเป็นอุโมงค์สำหรับเรือเล็กที่แจวผ่านไปมา สำหรับเด็กเมืองแบบเขาการที่ออกจากเมืองศรีวิไลมายังเมืองเก่า ทุกอย่างที่เห็นมันค่อนข้างที่จะหาชมได้ยากและน่าประทับใจอยู่ไม่น้อย

รู้ตัวอีกทีก็พบว่า...เสียรู้ถูกลุงเฟิงลากชมไปได้ครึ่งเมืองซะแล้ว

“ลุงเฟิง เห็นผมเคลิ้มหน่อย นี่ลากผมเดินซะครึ่งเมืองเลยนะ”

จ้าวเสียนหมิงบ่นอุบอิบนั่งพักเหนื่อยอยู่บริเวณโต๊ะไม้ใกล้หน้าต่างของร้านน้ำชาที่พอมองออกไปจะเห็นต้นหลิวใกล้ลำคลองพริ้วไสวตามแรงลมข้างถนนที่ปูด้วยหินอ่อน กับลุงเฟิงซึ่งไม่ได้มีท่าทีว่าจะเหนื่อยอะไรเหมือนหลานชายที่หมดสภาพนั่งกระดกถ้วยน้ำชาจนเสียรส สร้างความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองอ่อนแอเหลือเกินหากเทียบกับคนในเมืองนี้

จ้าวเฟิงซือหัวเราลั่นร้านก่อนจะยิ้มจนตาหยี

“อะไรเล่า ก็เห็นแกทำท่าสนอกสนใจดีก็เลยพาเดินชมให้ทั่วตั้งแต่ตอนนี้เลยไง”

“โห่...วันนี้หัวถึงหมอนผมคงได้หลับเป็นตายแน่อะสิ ลุงเฟิง”

“เด็กเมืองนี่มันร่างกายอ่อนแอกันซะจริง เดี๋ยวอยู่นี่แป๊บเดียวก็แข็งแรงเองแหละ ฮ่า ๆ”

ลุงเฟิงหัวเราะอีกครั้งซึ่งทำให้จ้าวเสียนหมิงพอจะรู้แล้วว่าแม้จะไม่เจอกันนานหลายปี คุณลุงของตนก็ยังเป็นคนเฮฮาและร่าเริงพูดจาแซะแซวให้เขายอกย้อนกลับเล่นเหมือนกับสมัยตอนเด็ก ๆ ไม่มีเปลี่ยนไปเลย เขาคลี่ยิ้มน้อย ๆ  ก่อนจะส่ายหน้าและเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำชายกขึ้นจิบให้ชุ่มคออีกสักหน่อย

นั่งจิบชาไปได้ไม่กี่อึกชายหนุ่มแซ่จ้าวก็ได้พบตัวตนเกี่ยวกับลุงของตนเพิ่มอีกอย่าง คือนอกจากบุคลิกนิสัยที่ดูเฮฮาร่าเริงแล้วนั้น เขายังอัธยาศัยดีมีเพื่อนสนิทคนรู้จักมากมายอีกต่างหาก จ้าวเสียนหมิงจิบชาในแก้วไปมองลุงเฟิงย้ายเก้าอี้ไปร่วมกลุ่มสนทนากับเพื่อนวัยใกล้เคียงกันอย่างออกรสออกชาติ ตอนแรกก็แนะนำเขาที่เป็นหลานพอหอมปากหอมคอจากนั้นจึงวกไปคุยเรื่องของพวกเขาเอง ตัวเขานั้นจึงได้แต่นั่งเหม่อมองทิวทัศน์ของเมืองผ่านร้านน้ำชาแก้เบื่อไปพลาง

ถ้าถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้มันก็เพราะ...

...เขายังไม่รู้ทางไปบ้านลุงเฟิงน่ะสิ!

คิดแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเสียรู้ลุงเฟิงไปเยอะเหมือนกัน ทั้งที่เอะใจแล้วแท้ ๆ ว่าทำไมทางไปบ้านมันจะเดินวกไปวกมาได้ขนาดนี้ แต่ตัวเองกลับไม่เอ่ยปากทักท้วงซะอย่างนั้น จ้าวเสียนหมิงถอนหายใจเบา ๆ ยกแก้วชาขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะเหม่อมองออกไปชมวิวทิวทัศน์ภายนอกที่ช่างดูเงียบสงบ ในตำแหน่งโต๊ะที่เขานั่งนั้นติดกับริมถนนซึ่งมีมีคนเดินไปมาประปรายรถยนต์หรือจักรยานยนต์ก็มีให้เห็นจนนับคันได้ ที่จะเห็นเยอะกว่าปกติก็คงเป็นจักรยานถีบสองล้อนี่มากกว่า

ช่างเป็นบรรยากาศที่ในเมืองหลวงใหญ่ ๆ ไม่มีให้เห็นแล้วจริง ๆ

ขณะที่จ้าวเสียนหมิงกำลังมองสำรวจที่อยู่ใหม่อยู่นั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครบางคนเดินมาจนเกือบชิดขอบหน้าต่าง เงยหน้าขึ้นมองอีกทีก็พบว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง แต่งกายด้วยชุดถังจวงสีดำเนื้อผ้าคล้ายผ้าไหมอย่างดี ดวงหน้าเรียวนั้นประดับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใด ๆ ที่จัดว่าอยู่ในขั้นหล่อดูดี แต่กลับมีบรรยากาศรอบตัวไม่ชวนให้อยากเข้าใกล้ เส้นผมสีน้ำตาลดำซอยสั้นประต้นคอถูกหวีจนเรียบไม่ค่อยมีส่วนที่ชี้ฟูมากนัก ดูจากลักษณะภายนอกเขาคงจะเป็นพวกชาติตระกูลดีไม่ใช่น้อยทีเดียว

“โอ๊ะ! นั่นเสี่ยวไท้นี่ มาดื่มชาด้วยกันไหม?”

เสียงของกลุ่มสนทนาของจ้าวเฟิงซือตะโกนออกมาเรียก ชายหนุ่มเจ้าของนามต้องเป็นอันหยุดชะงักฝีก้าว ก่อนจะค่อย ๆ เดินถอยหลังมาสักสองถึงสามก้าวกลับมายังหน้าต่างที่จ้าวเสียนหมิงมองออกไปเมื่อสักครู่

“โทษที ลุงฉี วันนี้ผมไม่ว่างเท่าไร”

“เหวย! โดนปฎิเสธอีกล่ะ นายน้อยซานนี่ยุ่งตลอดเวลาเลยจริง ๆ”

ลุงฉีตะโกนแซวออกมาอย่างตลกขบขัน ซึ่งทางด้านนายน้อยซานหรือซานไท้หยางได้แต่ยักไหล่ตอบโต้ไปนิดหน่อย การโดนแซวอะไรแบบนี้มันเป็นอะไรที่เขาชินชาแล้วจริง ๆ  จึงไม่คิดจะเถียงแล้วหันข้างเตรียมเดินไปทำธุระที่ตัวเองสมควรไปทำต่อ ทว่าเขากลับสังเกตเห็นใครบางคนในร้านที่ไม่คุ้นหน้าระยะเผาขนเข้าเสียก่อน จากที่ตั้งใจจะรีบกลับไปทำธุระของตัวเองต่อก็กลายเป็นต้องหันหน้ากลับเข้าไปหากลุ่มของลุงป้าที่เพิ่งแซวตนเอง

“เด็กคนนี้ใคร?”

คำว่า เด็กคนนี้ ทำเอาจ้าวเสียนหมิงแทบพ่นน้ำชาที่ตัวเองดื่มอยู่ออกมา นี่ยังดีแค่ไหนที่เขายังพยายามกลืนมันกลับลงไปในคอได้สำเร็จแม้จะสำลักบ้างนิดหน่อย ไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าโตจนอายุจะสิบเก้าปีแล้ว แถมพ่วงด้วยกำลังจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่งอย่างเป็นทางการ ยังมีคนเรียกว่าเด็กแบบนี้ได้อีกเขาไม่ชอบใจเลยสักนิด

“อ้อ...หลานชายฉันเองแหละ มันเพิ่งย้ายมาวันนี้น่ะ”

“เหรอ...”

คำตอบกลับช่างไม่มีสัมมาคาระวะซะจริง

จ้าวเสียนหมิงคิดแบบนั้นแต่สำหรับพวกคณะลุงป้าของที่นี่ คงจะเป็นเรื่องที่พวกเขาเคยชินเลยไม่มีใครพูดทักท้วงอะไร นอกจากช่วยกันพยักหน้าหงึก ๆ เหมือนตุ๊กตาหน้ารถยนต์ก็ไม่ปานเพื่อยืนยันคำตอบของลุงเฟิง

“ชื่อล่ะ?”

“เสียนหมิง...จ้าวเสียนหมิง”

จ้าวเสียนหมิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยอยากญาติดีเท่าไร เขายังรู้สึกเคืองใจเรื่องเรียกเขาว่า เด็ก อยู่

“งั้นสินะ หึ! มาจนได้...”

ซานไท้หยางตอบกลับมาเพียงเท่านั้นเขาก็หันข้างเดินออกไปทันทีโดยไม่คิดจะเอ่ยคำร่ำลาหรือทักทายอะไรเพิ่มเติม นอกจากสร้างความสงสัยในคำพูดว่า มาจนได้ ยังทำเอาจ้าวเสียนหมิงอ้าปากพะงาบ ๆ รู้สึกอยากตะโกนไล่หลังไปว่า นี่แกไม่คิดจะบอกชื่อแซ่ตัวเองบ้างหรือไงฟะ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทำแล้วกลับไปนั่งจิบชาให้ใจเย็นลงแทน

ท่าทางของหลานที่ทำหน้าบึ้งจนแปลกตาไปนั้นตัวลุงเฟิงเข้าใจได้ไม่ยากเลยว่าเขาต้องการอะไร

“เสียนหมิง คนที่คุยกับหลานเมื่อกี้ชื่อ ซานไท้หยาง”

พูดจบจ้าวเฟิงซือก็ได้ยินเสียงเหมือนกับใครบางคนไอค่อก ๆ คล้ายกับสำลักน้ำดังขึ้นมาแทบจะทันที จ้าวเสียนหมิงไอเอาน้ำที่สำลักออกจนหมดก็เหลือกตามองลุงเฟิงด้วยความแปลกใจ เขาและบรรดาเพื่อนกลุ่มสนทนาต่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในความเลิ่กลั่กของชายหนุ่มแซ่จ้าว

“อ้าว! สำลักทำไม ลุงเห็นอยากรู้เลยตอบให้เนี่ย”

“ค...ใครอยากรู้วะ ลุงเฟิง”

ใบหน้าของจ้าวเสียนหมิงขึ้นสีเล็กน้อยด้วยความเขินอายกับการเป็นตัวตลกให้พวกลุงป้าที่นั่งก๊งดื่มน้ำชาแบบรักสุขภาพขำกัน จ้าวเฟิงซือระเบิดเสียงหัวเราะลั่นร้านปากอ้ากว้างจนดูน่าเกลียดไม่อายใคร “เหวย! เสียนหมิงเอ๋ย ไม่ต้องมาทำปากคงปากแข็ง ตั้งแต่เสี่ยวไท้ทักไปก็เห็นแกทำหน้าหงุดหงิดทำปากหงับ ๆ บ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว แค่เห็นก็รู้ได้ไม่ยากเลยว่าแกอยากรู้ชื่อแน่ ๆ”

“เอ้อ...แต่พูดถึงเสี่ยวไท้แล้ว เพิ่งเคยเห็นทักถามชื่อคนแปลกหน้าครั้งแรกเลยนะ”

ป้าร่างอ้วนท้วมคนหนึ่งในหมู่ของกลุ่มสนทนาของลุงเฟิงทักถามขึ้น ทันทีที่มีคนเริ่มเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาใหม่ลุงป้าที่เหลือก็ต่างพากันพยักหน้าเออออเห็นด้วย

“นั่นสิ! ขนาดตอนนั้นหลานฉันมาเยี่ยมเสี่ยวไท้ก็ไม่เห็นถามอะไรเลย”

“ใช่ ๆ เมื่อเดือนก่อนลูกฉันมาอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน”

พวกลุงป้าที่กำลังคุยถามไถ่เรื่องความผิดปกติของซานไท้หยางอยู่ต่างเริ่มยกข้อสังเกตขึ้นมา ด้วยความที่เพราะเจอหน้ากันระหว่างมาพักดื่มชากันที่ร้านน้ำชาแห่งเดียวประจำเมืองแห่งนี้บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่พวกเขาพอจะทำความสนิทสนมและรู้จักนิสัยใจคอกันได้ ซึ่งพอยิ่งยกเรื่องข้อสังเกตต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นต่างก็มีความสงสัยทวีตาม

“ไม่แน่อาจจะเพราะอายุใกล้ ๆ กันล่ะมั้ง ก็ปีนี้เสี่ยวไท้อายุยี่สิบเอ็ดแล้วนี่นา”

“เออ...ก็น่าคิด ว่าแต่หลานลุงเฟิงอายุเท่าไรแล้วล่ะ?”

“ปีนี้สิบเก้าหรือเปล่า เสียนหมิง”

ลุงเฟิงหันมาถามหลานชายเพื่อยืนยันความแน่ใจซึ่งได้รับการพยักหน้าตอบ

“เอ้อ! งั้นก็ไม่ติดใจสงสัยล่ะ ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านมีแต่รุ่นไม่อายุมากกว่าเสี่ยวไท้เท่าตัวก็อายุน้อยมากทั้งนั้น จะมีใกล้ ๆ ก็หนูชุนเสี่ยวกับหนูเหวินหย่าใช่ไหมล่ะ แต่ก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่นิสัยแบบเสี่ยวไท้คงไม่กล้าสนิทด้วยล่ะมั้ง” ป้าคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้สรุปซึ่งเป็นข้อสรุปที่ทุกคนพร้อมใจคิดว่าเป็นจริงตามที่กล่าว ด้วยอัตราคนในเมืองที่อายุมากกว่าสามสิบขึ้นไป มันก็คงทำให้พอมีเด็กอายุใกล้ ๆ กันเข้ามานายน้อยสกุลซานถึงได้ไถ่ถามชื่อเอาไว้

สิ้นสุดหัวข้อสนทนานี้พวกลุงป้าก็กลับไปคุยกันเรื่องอื่นอย่างการบริโภคน้ำชาและเศรษฐกิจในช่วงนี้ การสนทนานั้นกินเวลาไปยาวนานมากจนจ้าวเฟิงซือสังเกตเห็นว่านี่มันก็เย็นมากแล้ว เขาควรจะพาหลานกลับบ้านไปจัดของได้เสียที คิดได้ดังนั้นก็รีบหันมาทางจ้าวเสียนหมิง เขาจึงพบว่านอนหลับฟุบไปกับโต๊ะหมดสภาพไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลุงเฟิงถอนหายใจมองด้วยความเอ็นดูเหมือนกับภาพหลานชายตัวน้อยที่เขาเคยไปเยี่ยมเมื่อหลายปีก่อนพลันฉายทาบขึ้นมาอีกครั้ง

ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะปล่อยจะให้เด็กคนนี้หลับไปก่อนตื่นแล้วค่อยพากลับบ้านดีกว่า

แต่...ก็ต้องยกเลิกความคิดนั้นไป

เมื่ออยู่ ๆ จ้าวเสียนหมิงสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นมาหอบหายใจถี่ชุดใหญ่จนน่าเป็นห่วงว่าเป็นโรคหอบหรือเปล่า นัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิกกว้างไม่มีท่าทีว่าจะลดขนาดกลับลงเท่าเดิม เหงื่อเม็ดน้อยใหญ่ที่ไม่รู้ว่าผุดขึ้นมาตอนไหนต่างไหลอาบดวงหน้าซีดเผือกเหมือนพบเห็นวิญญาณผีร้ายมาหลอกหลอนก็ไม่ปาน

อาการนั้นน่าห่วงและชวนสงสัยเสียจริง...

“เสียนหมิง เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่า! ไม่เป็นครับ”

คำตอบที่ตอบกลับแทบทันควันเหมือนไม่ได้ไตร่ตรองอะไรมันไม่ชวนให้คนที่เห็นเหตุการณ์คิดแบบนี้เลย

“ลุงเฟิง หลานลุงเป็นอะไรน่ะ สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรเลย”

“ไม่รู้มัน” ลุงเฟิงตอบไปตามความจริงที่ได้รับรู้ จ้าวเสียนหมิงเห็นท่าไม่ดีเขาจึงยืนขึ้นสะพายกระเป๋าเป้และกระเป๋าสะพายก่อนจะรีบเดินจ้ำออกไปจากร้าน แต่ก็ไม่ลืมที่จะตะโกนบอกลุงเฟิงว่าจะขอออกไปรอข้างนอก แม้จะเคลือบแคลงใจกับท่าทางแปลก ๆ ของหลานชายแต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ยอมเล่าจะให้ทำอย่างไรได้เล่า จ้าวเฟิงซือลุกขึ้นจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่ร้านน้ำชาจากนั้นก็เดินออกจากร้านไป

พอออกมาจากร้านได้ก็พบเห็นหลานชายเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ตอนนี้มีสีส้มอ่อน ๆ แซมมาบ้างแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าคงกำลังชมวิวทิวทัศน์ของเมืองเก่าโบราณ แต่เขาก็คิดผิดเมื่อเสียงกริ่งของรถจักรยานและเสียงเบรกรถดังลั่นมา พร้อมด้วยเสียงตะโกนให้หลบไปของเจ้าของรถดังสนั่นขึ้นมา ทว่าทางด้านจ้าวเสียนหมิงไม่มีท่าทีว่าจะหลบเลย ลุงเฟิงถึงได้แน่ใจว่าหลานชายไม่ได้กำลังชมนกชมไม้แต่กำลังเหม่อ ไม่ใช่เหม่อลอยธรรมดาแต่มันถึงขั้น

...ถอดจิตวิญญาณโบยบินไปกับสายลมและแสงแดดชัด ๆ

ตอนแรกก็คิดว่าตะโกนให้รีบหลบโดยเร็วเลยดีกว่า แต่ในวินาทีที่ป้อมปากเตรียมจะตะโกนออกไปแล้วนั้น เขากลับเห็นเหมือนมือควันสีดำเลื้อยพันรอบตัวของหลานชาย จากปลายเท้าไล่ขึ้นมาถึงบริเวณต้นคอที่เงยขึ้นมองท้องฟ้า แต่เพียงเขากระพริบตาครั้งเดียวสิ่งที่เห็นนั่นก็หายไป แทนที่ด้วยเสียงกริ่งรถจักรยานและเบรกดังสนั่นประสาทหู

“อะ..เฮ้ย เสียนหมิง กระโดดจับกบ เอ๊ยไม่ใช่! รีบหลบเร็ว! รถมาแล้วเว้ย อย่ามัวแต่ยืนหลับสิ!

“ห..ห๊ะ!? เหวอ...!” จ้าวเสียนหมิงเบิกตากว้างสะดุ้งโหยงในทันทีที่ถูกเรียกสติมาด้วยเสียงตะโกนของลุงเฟิง ทำให้เขาได้สติรีบพุ่งตัวกลิ้งหลบไปข้างทางลงไปนั่งจับกบอยู่ที่พื้นอย่างรีบร้อน  เสียงรถจักรยานดังเสียดสีกับพื้นถนน ไม่นานนักรถจักรยานสีขาวก็หยุดแน่นิ่งจนเจ้าของจักรยานโกร่งตัวไปข้างหน้าจากแรงหยุดของตัวรถ

“โอ๊ะ! หนูเหวินหย่าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ลุงเฟิงรีบถามคนรู้จักอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เกือบหน้าคว่ำเฉย ๆ น่ะค่ะ ลุงเฟิง” เหวินหย่าหรือหลี่เหวินหย่าเอ่ยตอบพลางปัดเส้นผมสีน้ำตาลเข้มซึ่งถูกจับรวบเป็นหางม้าปัดไปทางด้านขวาที่ตกมาคลอเคลียไหล่ไปด้านหลัง “ว่าแต่ลุงเฟิง เขาคนนั้นไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ เอ่อ...จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นหน้านักท่องเที่ยวเหรอคะ”

“อ้อ...นั่นหลานลุงเอง มันเพิ่งมาใหม่คงจะสำรวจเมืองเพลินน่ะ”

ลุงเฟิงแก้ต่างให้หลานชายแม้จะไม่รู้ว่าความจริงแล้วนั้นเป็นแบบที่เขาพูดหรือเปล่า

จ้าวเสียนหมิงปัดเศษฝุ่นออกจากมือของตัวเองจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี

“ขอโทษครับ พอดีผมเหม่อไปหน่อย”

“ม..ไม่เป็นไรหรอก เราเองปั่นมาไม่เร็ว แล้วก็หยุดรถทันด้วย” หลี่เหวินหย่ายิ้มให้น้อย ๆ ก่อนจะรีบหันกลับไปมองทางด้านลุงเฟิง “ว่าแต่ลุงเฟิงมีหลานกับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย ไม่ยักจะรู้มากก่อนเลย”

จ้าวเฟิงซือชะงักไปกับคำพูดของหลี่เหวินหย่าก่อนเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“มีคนเดียวเป็นหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลจ้าวเชียวแหละ”

“แล้วหลานลุงเฟิงมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ?”

“มาเรียนต่อน่ะ เมืองนี้มันใกล้กับมหาลัยที่เสียนหมิงมันสอบติดพอดีน่ะ” จ้างเฟิงซือตอบกลับไปก่อนจะร้องตะโกนด้วยความตกใจเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ออกมา “โอ้! ใช่ ๆ จริงด้วยสิ หนูเหวินหย่าก็เรียนมหาลัยเดียวกับหลานลุงนี่ ฮ่า ๆ ฝากดูแลมันหน่อยนะ”

หลี่เหวินหย่าพยักหน้ารับน้อย ๆ

“แต่ว่าถ้าคนที่อยู่มหาลัยเดียวกัน ต้าเกอซานก็ใช่นี่คะ”

“ฮ่า ๆ หลานลุงเจอแล้วล่ะ แต่ออกอาการไม่ชอบเสี่ยวไท้ซะอย่างนั้น”

จ้าวเสียนหมิงได้ยินดังนั้นก็แสดงอาการหน้าบึ้งออกมาทันที เขานึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า เด็ก ขึ้นมาได้ทันที พอมาลองคิด ๆ ก็เหมือนจะคลับคล้ายจำได้ว่าพวกลุงป้าเพื่อนร่วมวงสนทนาของลุงเฟิงบอกว่า คนที่ชื่อซานไท้หยางอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้วใช่ไหมนะ ถ้าเทียบอายุกับเขาก็ห่างกันแค่สองปีนึกยังไงเรียกเขาว่าเด็ก

หรือว่าหน้าเขาจะดูเด็กจริง ๆ

“จะเหมือนชุนเสี่ยวหรือเปล่าคะ โดนต้าเกอซานเรียกว่าเด็กก็ประกาศลั่นเลยว่าไม่ชอบ”

“เออ! ก็ไม่แน่ เสียนหมิงมันก็ไม่ชอบให้ใครเรียกว่าเด็กมาตั้งแต่สิบสามแล้วนี่ แต่ก็เข้าใจเสี่ยวไท้นะที่เรียกว่าเด็ก ก็ช่วยไม่ได้ที่ส่วนใหญ่เขาจะสนิทอยู่กับคนอายุมากเลยติดสำเนียงเรียกมาล่ะมั้ง” จ้าวเฟิงซือลองตั้งข้อสรุปขึ้นมาแบบนั้น ซึ่งทางหลี่เหวินหย่าเองพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่จ้าวเสียนหมิงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจอย่างไม่พอใจเท่าไร

“คงตามนั้นแหละค่ะ อะ! เดี๋ยวหนูต้องไปก่อนนะคะ ไว้เจอกันค่ะ ลุงเฟิง”

หลี่เหวินหย่ารีบเอ่ยคำร่ำลาก่อนจะถีบตัวรถจักรยานไปข้างหน้า เหมือนเธอจะค่อนข้างรีบร้อนไม่เบาทีเดียวแป๊บ ๆ ก็ทิ้งระยะไปไกลแล้ว จ้าวเฟิงซือจึงแค่โบกมือส่งจนกระทั่งจักรยานสีขาวคันน้อยจนหายพ้นไปจากสายตา เขาหันหลังยกมือทั้งสองข้างประสานกันก่อนจะหนุนท้ายทอยพลางก้าวขายาว ๆ ตามความสูงเดินนำโดยมีจ้าวเสียนหมิงตามไม่ห่าง

“เสียนหมิง ที่ร้านกับที่ยืนเหม่อนั่นมีอะไรหรือเปล่า หลานคิดถึงบ้านเหรอ?”

“เปล่าครับ ลุงเฟิง แค่...ฝันร้ายเลยใจคอไม่ดี”

จ้าวเสียนหมิงตอบลุงเฟิงไปตามความจริงที่ตอนแรกเขากะว่าจะไม่เอ่ยปากบอกแล้ว แต่พอมันมีเหตุการณ์ที่เกือบถูกรถจักรยานชนมันก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะไม่บอก โดยตัวเขาไม่รู้เลยว่าสีหน้าของเขาที่แสดงออกมาตอนนี้มันดูกังวลและสับสนไม่น้อยจนจ้าวเฟิงซืออดเป็นห่วงตามประสาคนในครอบครัวไม่ได้

เอาตามความจริง...มันอาจจะเพราะตัวลุงเฟิงเองก็รู้สึกใจเสียที่เห็นเงาดำพันรอบหลานแบบนั้นด้วยเช่นกัน

“คนโบราณมักบอกว่า ฝันร้ายจะกลายเป็นดีนะ”

จ้าวเสียนหมิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยกมุมปากยิ้มน้อย ๆ “หวังว่างั้นครับ ลุงเฟิง”

แม้จะตอบไปแบบนั้นแต่ใจกับไม่ได้รู้สึกว่ามันไม่เป็นแบบนั้นเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝันถึงเรื่องเดิม ๆ แต่เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แทนที่มันจะจบด้วยการขยับตัวไม่ได้และถูกความมืดกลืนกินจนตื่นขึ้นมาอย่างปกติ ทว่าเขากับพบว่าพอทุกสิ่งดำมืดแล้วนั้นเขายังคงหลงวิ่งไปมาอยู่ในความมืดไร้ซึ่งแสงสว่าง มองไม่เห็นเท้าตัวเองไม่เห็นอะไรเลย มันน่ากลัว...นั่นคือสิ่งที่ตัวเองในความฝันรู้สึกได้ จะวิ่งไปเท่าใดก็หนีความมืดนั้นไม่พ้น พอคิดว่าตัวเองเริ่มเหนื่อยวิ่งต่อไปไม่ได้แล้วข้อเท้าก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรคว้าเข้าก่อนจะดึงจนร่างเขาล้มลงกับพื้น

และนั่นก็ทำให้เขาตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางที่ทุกคนเห็นในร้านน้ำชา

ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองที่พิชิตความกลัวความมืดได้ตั้งแต่ยังเด็กจะกลับมากลัวอีกครั้งได้ หรือความจริงแล้วเขาอาจจะยังไม่สามารถเอาชนะความกลัวได้หรือเปล่า นั่นเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบกับตัวเองได้เหมือนดั่งเช่นคำถามเกี่ยวกับความฝันที่ฝันถึงตั้งแต่ครั้นจำความได้ ว่าทำไมถึงเขาฝันเรื่องเดิม ๆ ซ้ำกันหลายครั้งจนรู้สึกว่ามันเหมือนฝันร้าย

“ถึงที่หมายเราแล้ว”

เสียงของลุงเฟิงดังขึ้นทำให้เขาสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง บัดนี้เขาและลุงได้มายืนอยู่หน้าบ้านไม้สองชั้นดูอายุเก่าแก่ซึ่งรูปแบบการสร้างมันก็คล้าย ๆ กับหลังอื่นที่อยู่ใกล้เคียง จะมีแต่ต่างหน่อยก็ที่ขนาดของตัวบ้านตรงหน้าใหญ่กว่าหลังอื่นนิดหน่อย จ้าวเฟิงซือเปิดประตูรั้วเข้าไปข้างในโดยไม่ลืมจะหันกลับมากวักมือเรียกหลานชายเข้าไปข้างใน ซึ่งภายในบ้านนั้นก็ยังดูเก่าแก่เหมือนกับข้างนอกไม่มีผิด

นี่ยังดีที่มันยังดูไม่โทรมมากไม่งั้นคงได้จินตนาการว่ามีอะไรนอกจากมนุษย์อาศัยอยู่ซะแล้ว

จ้าวเฟิงซือเดินขึ้นชั้นสองนำหลานไปที่ห้องซึ่งเขาได้จัดเตรียมเก็บข้าวของรก ๆ ส่วนใหญ่ไว้เตรียมรับมาอยู่ด้วยตั้งแต่วันแรก ๆ ที่คุยกับน้องชายเรื่องที่จะฝากหลานมาอยู่ด้วยจนกว่าเจ้าตัวจะเรียนจบ ซึ่งเขาก็ยินดีมากที่จะได้สมาชิกในบ้านเพิ่มมาอีกสักคน นึกแล้วก็ขำที่รีบจัดแจงบ้านช่องตั้งแต่วันที่ได้รับข่าวเลยทีเดียว

“เสียนหมิง จัดของไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวลุงจะลงไปทำข้าวเย็น”

“ครับ ๆ” จ้าวเสียนหมิงตอบรับคำแล้วเริ่มลงมือนำของที่อยู่ในกระเป๋าออกมา ลุงเฟิงมองหลานรักอยู่สักพักแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ต้องการอะไรจึงเตรียมจะเดินกลับลงไปทำข้าวเย็น แต่ก็ถูกหลานชายทักขึ้นมาจนต้องชะงัก “ลุงเฟิง อย่าทำข้าวไม่สุก กับดำปิ๊ดปี๋มาให้ผมทานเชียวนา”

“เออ ๆ ไอนี่! ลุงไม่ทำอะไรแบบนั้นออกมาให้เสียชื่อหรอก ฮ่า ๆ ครัวลุงเฟิงวันนี้ขอเสนอเมนูพิเศษให้แกเลย”

ลุงเฟิงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นจากนั้นจึงโบกมือและเดินกลับลงไปด้านล่าง ทิ้งให้หลานรักกลับไปจัดการกับข้าวของที่เขาควรจะเก็บยัดใส่ตามที่ต่าง ๆ ที่ตัวเองคิดว่าจะหยิบออกมาใช้ได้โดยไม่ต้องวุ่นวายหาให้ปวดหัว เขาเร่งมือจัดข้าวของจนตอนนี้มีตกค้างอยู่ในกระเป๋าแบบประปรายเท่านั้น

ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนที่ลุงเฟิงเดินขึ้นมาตามให้เขาลงไปกินข้าวเย็น เขาจึงผละออกจากกระเป๋าเดินตามลุงเฟิงไปข้างล่าง เดินทะลุห้องนั่งเล่นไปก็กลายเป็นห้องรับประทานอาหารที่มีครัวอยู่ในตัวทันที จ้าวเสียนหมิงเดินตรงไปที่โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกลางซึ่งจัดที่นั่งไว้สองตัวด้านตรงข้ามกัน ยืนรอให้ลุงเฟิงนั่งประจำที่เรียบร้อยเขาจึงนั่งลงจัดท่านั่งของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง

จากนั้นเขาจึงเริ่มสำรวจอาหารบนโต๊ะไม้ ซึ่งกับข้าวบนโต๊ะนั้นเป็นเมนูที่เน้นผักซะเป็นส่วนใหญ่ ทำเอาเด็กเมืองอย่างจ้าวเสียนหมิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จะให้บรรยายสภาพอาหารเย็นมันคือ สารพัดเมนูผักเลยไม่ใช่หรือ มีทั้งผัดผักบุ้ง ผัดเปรี้ยวหวาน ต้มจืดตำลึงและผัดถั่วงอก ครั้นพอจะหันไปถามลุงเฟิงว่าทำไมมันมีแต่ผักเขาก็ฉีกยิ้มกว้างมาให้ก่อนจะหัวเราะดังลั่น

นี่มันแกล้งกันใช่ไหม! ไอเมนูสารพัดผักนี่คือแกล้งกันสินะ!?

“อะไรเล่า ไม่รู้ว่าพ่อแม่แกเลี้ยงเอาอะไรให้กินนะ แต่อยู่กับลุงต้องเน้นสุขภาพจะได้โตเร็ว ๆ ฮ่า ๆ”

จ้าวเสียนหมิงไม่ได้ตอบอะไรเขานั่งลงที่โต๊ะหยิบตะเกียบเขี่ยพวกผักในจานกับข้าว ว่ามันพอจะมีเนื้อผสมอยู่ในนั้นบ้างไหม และเขาก็ได้พบความจริงอีกอย่างเข้า นั่นคือ...มันมีแต่ผักล้วน ๆ ไม่มีเนื้อผสม เมนูอาหารถูกใจหนอนจ๋า ทุกเพศทุกวัยต้องอาหารครัวลุงเฟิง

“ลุงเฟิง ผมไม่ใช่หนอนนะเฮ้ย”

“อ้าว ๆ งั้นที่พ่อแกบอกแกไม่ชอบกินผักนี่ก็เรื่องจริงอะสิ”

ลุงเฟิงหัวเราะฮิฮะใส่อย่างมีความสุขกับการแกล้งหลานชาย ขณะที่จ้าวเสียนหมิงได้แต่ทิ้งกายแบบเหนื่อยล้าลงกับพนักพิงของเก้าอี้ ก็จริงอย่างที่ลุงเฟิงว่าเรื่องเขาไม่ชอบกินผัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากินไม่ได้สักหน่อย ทว่าไอเมนูหนอนจ๋าแบบนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เขามองจานผักตรงหน้าจ้องมันเขม็งยกตะเกียบขึ้นสูงในท่าเตรียมจกลงไปในจาน

เหงื่อเม็ดน้อยใหญ่เริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้าของชายหนุ่ม เขาจับจ้องไปที่จานผักที่แม้จะส่งกลิ่นหอมรัญจวนใจเพียงใด แต่พอมันเป็นผัก! เขาก็ต้องเริ่มคิดหนักยิ่งมีเสียงเหมือนล้อเลียนของลุงเฟิงดังแทรกมาด้วยแล้ว สุดท้ายเขาก็รวบรวมความกล้าพุ่งปลายตะเกียบลงไปบนจานผักก่อนจะคีบมันขึ้นมากลั้นหายใจยัดใส่ปาก ลุงเฟิงที่ดูทุกอากัปกิริยาพลันหัวเราะท้องแข็งไม่คิดเลยว่าจะแกล้งหลานได้ถึงขนาดนี้

“ลุงเฟิงอย่าหัวเราะผมสิ! เห็นผมเป็นหนอนหรือไงจะถึงกินผักอย่างมีความสุขเนี่ย”

ถึงจะตะโกนออกไปแบบนั้นด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ แต่ลุงเฟิงไม่ได้มีท่าทางว่าจะสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย  มีแต่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นใส่จนรู้สึกหงุดหงิด จ้าวเฟิงซือพยายามกลั้นหัวเราะก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้หัวหลานชาย

“เอาน่า ๆ กินผักเยอะ ๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง”

จ้าวเสียนหมิงทำหน้าบอกบุญไม่รับพลางอมปลายตะเกียบไว้ในปาก เขากรอกตาหลบไปทางอื่นก่อนจู่ ๆ จะไอแค่ก ๆ รีบลุกขึ้นยืนอย่างปุบปับทำท่าเหมือนกับคันคอของตัวเอง ก่อนจะล้มลงไปชักดิ้นชักงอทุรนทุรายอยู่บนพื้น ทันทีที่เห็นท่าทางแบบนั้นของหลานรักลุงเฟิงแตกตื่น ลุกขึ้นพุ่งตัวลงไปจับตัวหลานไว้

“เฮ้ย! เสียนหมิงแกแพ้อะไรหรือเปล่าเนี่ย ทำใจดี ๆ ไว้นะ! เดี๋ยวลุงพาไปโรงบาลเดี๋ยวนี้เลย!

“แค่ก ๆ ล..ลุงเฟิง ผม...ผมอยาก...แค่ก!

“อยากอะไร เสียนหมิง นี่แกไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย! เฮ้ย! เสียนหมิงอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ”

“แค่ก...แค่ก...ผม...ผม...”

“อยากได้อะไรบอกลุงมาเลย แกแค่อย่าเป็นอะไรไปนะ เดี๋ยวลุงจะพาไปโรงบาล!

ทันทีที่ได้ยินประโยคคำพูดนั้นของลุงเฟิง มุมปากของจ้าวเสียนหมิงก็เริ่มยกขึ้นและคลี่กว้างขึ้นช้า ๆ โดนที่ชายวัยกลางคนไม่ได้ทันสังเกต “ผม...ผม...ผมไม่อยากกินผักทุกวันอะลุง ผมรู้ว่าลุงคงไม่ยอม แต่งั้นเอาประมาณผักหนึ่งเมนูต่ออาทิตย์ได้เปล่าครับ ไม่ใช่บนโต๊ะมันมีแต่เมนูผักล้วน ๆ ไม่มีเนื้อผสมแบบนี้อะ”

หมดอารมณ์กับมันเสียจริง

“โอ๊ย!

จ้าวเฟิงซือวางหลานไม่รักดีลงกระแทกกับพื้นอย่างแรงจนอีกฝ่ายร้องโอ๊ยออกมา ยืนเกาหัวแก๊ก ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหลงเชื่อว่ามันจะเป็นอะไรไปจริง ๆ คิดแล้วมันก็อยากจะฟาดสันมือลงกลางกระบาลเจ้าตัวสักทีสองที ฝ่ายจ้าวเสียนหมิงก็เด้งตัวลุกขึ้นมาฉีกยิ้มมุมปากแลดูเจ้าเล่ห์ไม่ใช่น้อยมาให้ คำพูดนั้นหากยังไม่พูดออกไปเราย่อมเป็นนาย แต่หากได้ขานออกไปจะกลืนคำพูดก็คงไม่ได้

“หน๊อย! มาหลอกลุงได้ ลุงเป็นห่วงแทบตาย! เออ...ยอมแกเลยจริง ๆ แต่ขอเปลี่ยนจากต่ออาทิตย์เป็นต่อวันได้ไหมล่ะ?” จ้าวเสียนหมิงนิ่งไปครู่หนึ่งทำท่าเหมือนคิดหนัก ลุงเฟิงเลยถือโอกาสเอ่ยต่อ “อย่างน้อยลุงจะได้รู้สึกว่าดูแลแกดี สุขภาพแข็งแรงกินครบห้าหมู่ ป๊าแกจะได้ไม่มาบ่นลุงไง”

“โอเค ๆ ผมยอมลุง ตราบใดที่ลุงไม่คิดจะเลี้ยงผมเป็นหนอนแก้วน่ะนะครับ”

จ้าวเสียนหมิงตอบพลางพากันกลับไปนั่งกินข้าวเหมือนเดิม ซึ่งก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะที่ส่วนใหญ่จะมาจากลุงเฟิงเองก็ตาม พอรับประทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อยสองลุงหลานก็พากันช่วยกันล้างจานทำความสะอาดเก็บเข้าที่ก่อนจ้าวเสียนหมิงจะขอเดินกลับไปจัดของต่อ ส่วนทางฝ่ายลุงเฟิงก็บอกว่าจะไปเตรียมน้ำร้อนให้อาบ นั่นทำให้เขาและลุงเฟิงแยกย้ายกันไปคนละทาง

พอขึ้นมาถึงชั้นสองเขาก็กลับไปนั่งจัดของเก็บเข้าที่จนเสร็จเรียบร้อยในเวลาประมาณสิบนาทีได้ เขาก็ลุกขึ้นยืนเก็บกระเป๋าของตัวเองยัดใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนอนสีเทาของตัวเองพาดบ่ากำลังจะเดินลงไปชั้นล่าง หางตาพลันเหลือบไปเห็นใครบางคนยืนกอดอกเงยหน้าขึ้นมามองมาทางตนจากถนนเบื้องล่าง เพราะยามนี้ตะวันติดดินแล้วแถมยังเป็นคืนแรมซะด้วย มันจึงทำให้ภายนอกนั้นมืดสนิทกว่าปกติแม้จะมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็ดูท่าจะไม่ค่อยช่วยให้มองเห็นเท่าไร

เขาพยายามจะมองให้รู้ว่าเป็นใครแต่เหมือนอีกฝ่ายจะมองเห็นเขาเช่นกัน

ร่างที่ยืนกอดอกพิงหลบซอกกำแพงจึงได้เดินถอยหนีหายไปในเงามืด จังหวะเดียวกับตอนที่เขามาเกาะริมขอบหน้าต่างพอดี ตอนนี้ถนนเบื้องล่างจึงเหลือเพียงแค่ความมืดและว่างเปล่า จ้าวเสียนหมิงขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัยเกี่ยวกับใครบางคนที่มายืนจ้องบ้านใหม่ของเขาในเวลายามนี้กัน ถึงจะสงสัยยังไงแต่ก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนดังเช่นคำถามอื่น ๆ ชายหนุ่มแซ่จ้าวจึงได้แต่ถอนหายใจจากนั้นจึงเดินลงไปชั้นล่าง

โดยทันทีที่เขาเหยียบพื้นของชั้นล่างลุงเฟิงก็เดินออกมาพอดิบพอดี

“อ้าว...กำลังจะไปตามเลย ห้องน้ำใช้ได้แล้วนะ เสียนหมิง อาบก่อนลุงเลยเดินทางมาเหนื่อย ๆ”

“ครับ” จ้าวเสียนหมิงตอบรับจากนั้นจึงเดินไปทางที่เห็นว่าลุงเฟิงเดินออกมา แต่เขากลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อยเรื่องที่มีคนแปลก ๆ ยืนจ้องบ้านอยู่ สุดท้ายก็เลยหยุดชะงักหันกลับมาหาลุงเฟิง “เอ้อ...ลุงเฟิงครับ เมื่อกี้ผมเห็นใครไม่รู้ยืนอยู่นอกบ้านด้วย แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้วผมกลัวจะเป็นโจร...”

“ไม่หรอกมั้ง ลุงว่าคงเป็นคนแถวนี้นั่นแหละ เสียนหมิงเอ๋ย คิดมากแล้วที่นี่ไม่ใช่เมืองใหญ่คงไม่เป็นไรหรอก”

“ถ้าลุงเฟิงว่างั้นผมก็ไม่อะไรหรอกครับ งั้น...ผมไปอาบน้ำแล้วนะครับ”

จ้าวเสียนหมิงตอบกลับไปแบบนั้นทั้งที่ในใจรู้สึกไม่สงบ แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ในเมื่อคำยืนยันจากลุงเฟิงย่อมมีน้ำหนักไม่ใช่น้อย เขาจึงต้องปักใจเชื่อตามนั้นทั้งที่ใจยังค้าน เหมือนกับตัวเขามีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างที่เตือนว่าสิ่งที่เขาได้พบในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝันที่เพิ่มความแปลกประหลาดมากขึ้น หรือคนที่เขาพบเห็นเมื่อสักครู่ต้องมีอะไรแน่ ๆ

แค่ตอนนี้...เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร




Comment จากกรรมการ

#1 Enter Books Editor Team

สวัสดีค่ะ

อื่นๆ ของคุณไม่ค่อยเป็นปัญหาแล้ว ไอเดียน่าสนใจ และมีเรื่องที่อยากเล่า ขาดแต่จังหวะการดำเนินเรื่อง ซึ่งน่าจะเร่งขึ้นได้อีกนิดหน่อย แต่นี่เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ ต้องใช้เวลา ดังนั้นอย่าเพิ่งกังวลตอนนี้เลยนะ เพียงแต่จากนี้ต่อไปขอให้ใส่เรื่องการเล่าเรื่องเป็นพิเศษ เวลาอ่านนิยายของคนอื่น ให้คอยดูว่าเขาดำเนินเรื่องอย่างไร ละอะไรไปบ้าง แล้วพยายามเน้นหรือใส่อะไร

สู้ๆ นะ
ลวิตร์



Comment จากกรรมการ

#2 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

อ่านเรื่องนี้เหมือนอ่านนิยายแฟนตาซีไต้หวัน แต่ก็มีกลิ่นอายลึกลับชวนค้นหาแบบญี่ปุ่น โดยรวมแล้วชอบนะ อยากรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสี่คนเร็วๆ รออ่านตอนต่อไปอยู่นะครับผม

นี่เฮียเอง

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 1 of 1 1
  • ความคิดเห็นที่ 18

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 202.176.108.255
    • 31 มีนาคม 2559 / 11:19
    สวัสดีค่ะ

    อื่นๆ ของคุณไม่ค่อยเป็นปัญหาแล้ว ไอเดียน่าสนใจ และมีเรื่องที่อยากเล่า ขาดแต่จังหวะการดำเนินเรื่อง ซึ่งน่าจะเร่งขึ้นได้อีกนิดหน่อย แต่นี่เป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ ต้องใช้เวลา ดังนั้นอย่าเพิ่งกังวลตอนนี้เลยนะ เพียงแต่จากนี้ต่อไปขอให้ใส่เรื่องการเล่าเรื่องเป็นพิเศษ เวลาอ่านนิยายของคนอื่น ให้คอยดูว่าเขาดำเนินเรื่องอย่างไร ละอะไรไปบ้าง แล้วพยายามเน้นหรือใส่อะไร

    สู้ๆ นะ
    ลวิตร์


  • ความคิดเห็นที่ 17

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 203.147.8.118
    • 24 มีนาคม 2559 / 09:28
    สวัสดีค่ะ

    จากเรื่องย่อมาถึงจุดนี้ สำนวนสะอาดขึ้นมากเลยค่ะ เลยรู้สึกว่าคุณเป็นคนใส่ใจ :)

    การเล่าเรื่องของบทนี้ก็สมูทขึ้น ติดอยู่นิดนึงว่าฉากระหว่างออกจากร้านและวิ่งหนียังค่อนข้างยาวไปอยู่บ้าง ที่จริงในปริมาณกระดาษเท่านี้ ยังน่าจะใส่อีเวนท์เพิ่มได้สักอีเวนท์ และทำให้ภาพรวมของบทหนักแน่นขึ้น

    รออ่านต่ออยู่นะคะ
    ลวิตร์
  • ความคิดเห็นที่ 15

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 171.99.46.230
    • 17 มีนาคม 2559 / 09:43
    สวัสดีค่ะ

    รู้สึกว่าประโยคซ้อนน้อยลง อ่านง่ายขึ้นค่ะ :) ยังมีคำสะกดผิด และใช้คำผิดอยู่ อย่างสองสาว "ลากจูง" กัน ปรกติลากจูงใช้กับสัตว์หรือสิ่งของมากกว่า เข้าใจว่าคุณน่าจะติดสำนวนภาษาจีน แต่ตรงนี้พอเขียนจบแล้ว อย่าลืมเช็คอีกสักรอบนะคะ เพราะถ้าใช้คำผิด ความหมายจะเปลี่ยนได้

    รู้สึกว่าคุณเดินเรื่องเป็นเส้นตรงตามสเต็ป คือเหตุการณ์ดำเนินไปแบบ 1 2 3 แต่ฉากบางฉาก ถ้าไม่จำเป็น เช่นสองสาวมาสาย หรือชมเมืองแล้วไม่คุยกัน ถ้าไม่มีผลกับเรื่องในภายหน้า ก็ย่นย่อลงได้ คุณควรใช้ทุกฉากให้เป็นประโยชน์ อย่างบทนี้ สุดท้ายเราก็ยังไม่รู้ภูมิหลังของสองสาวเพิ่มเลยนะคะ ทั้งที่แทรกเข้ามาในบทสนทนาได้ ตัวเมืองก็ทราบแต่ว่ามีสองย่าน รายละเอียดอื่นๆ คุณบรรยายค่อนข้างปลีกย่อยมาก ที่จริงฉากเที่ยวเมืองคือจุดที่เราจะวางฉากสำหรับเรื่องที่เหลือ เช่นตึกไหนจะใช้อีก ก็พูดถึงมันเยอะหน่อย

    ทราบว่าเพิ่งเคยเริ่มเขียน อาจจะหนักหน่อย แต่ก็สู้ๆ นะคะ

    ลวิตร์
  • ความคิดเห็นที่ 14

    Dòufu' nutta
    • Name : Dòufu' nutta < My.iD > [IP] 125.26.238.44
    • 15 มีนาคม 2559 / 10:30
    #13
    ขนาดนั่งเก็บไปหลายตัวก็ยังมีหลุดอีกสินะนี่ ฮะๆ
    แต่ไอคำว่าไอน่ะ จงใจค่ะ ถ้าใช้ไอ้มันดูหยาบไปก็เลยเอาไอดีกว่า

    สร้างเฉพาะส่วนเมืองขึ้นมาน่ะค่ะ ด้วยความที่ไม่เคยไปจีน มีอะไรก็จะอาศัยถามจากเหล่าซือ 
    วัฒนธรรมตรงนี้เลยอาจจะตกไป เพราะบางทีแกก็บอกมางง ๆ เหมือนกันค่ะ (ฮา)
    เลยตัดปัญหาสร้างขึ้นมาใหม่ให้อิงกับเนื้อเรื่องเราเลยดีกว่า

    อันนี้รู้แค่คนจีนจะขอ weibo กันค่ะ ส่วนนอกนั้นก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร
    พยายามหาข้อมูลเนื่อง ๆ จนตอนนี้บันทึกลิงค์ข้อมูลยาวเป็นพืดแล้วค่ะ (ฮา)
    บางส่วนก็รู้บางส่วนก็ยังงง ๆ อยู่

    ในส่วนของการดื่มชานี่คือ เราตัดออกไปเองค่ะ TT;;
    กลัวว่าถ้าบรรยายเยอะมันจะยาวไปก็เลยว่า งั้นตัดออกแค่ให้รู้ว่าเทชาดื่มกันไปเลยแล้วกัน
    กลายเป็นว่าตัดวัฒนธรรมเขาออกไปเต็มๆ (เฮือก! orz)

    ที่เป็นหมากล้อมเพราะ เหล่าซือเคยเอามาสอนวิธีเล่นของจีนน่ะค่ะ
    ส่วนหมากจีนยังงง ๆ วิธีเล่นมันก็เลยว่าเอาหมากล้อมแทนดีกว่า

    ในส่วนนี้คงพลาดเรื่องของข้อมูลไปจริงๆ วัฒนธรรมจีนมันเยอะมากจนบางทีสงสัยว่า
    คราวเอาส่วนไหนลงก่อนดีค่ะ ความผิดพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว lllorz
    จริงๆ ก็ควรจะกันว่าโลกนี้เป็นโลกที่จินตนาการขึ้นมาเลยเหมือนกันค่ะ เพราะเราก็ไม่แน่น
    เรื่องพวกนี้สักเท่าไร ถึงจะพยายามหาข้อมูลเนื่อง ๆ
    ที่จะมีรู้ก็อย่างกินซุปค่ะ เจอมากับตัวเลยทีเดียว 

    ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ จะพยายามเอาไปใช้ในตอนต่อไปให้ได้มากที่สุดค่ะ
  • ความคิดเห็นที่ 13

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.206.225
    • 15 มีนาคม 2559 / 00:17
    คำผิดที่เห็นจะๆคือ "เสถียร" ค่ะ
    คำไหนไม่แน่ใจอย่าลืมเปิดพจนานุกรมเนอะ เห็นเยอะเหมือนกัน แต่เก็บไม่หมด
    เห็น "ไอ" ด้วย น่าจะมาจาก "ไอ้" หรือเปล่าคะ? ไม่เข้าใจว่าตกไม้โทหรือจงใจ แต่ถ้าจงใจ ความหมายมันก็ดูไม่เข้ากับบริบทนะ

    มีบทสนทนาหลายช่วงที่แปลกๆ อย่าง "นั่นแน่ะ!" "เห๊อะ!" อ่านออกเสียงแล้วเช็คดูดีๆค่ะ บางคำเสียงต่พเสียงสูงทำให้อารมณ์ของเรื่องผิดไปเลย
    อ้อ มีบางจุดที่ใช้ภาษาพูดในการบรรยาย ออกจะดูขัดๆบ้าง แต่กลับไปหาไม่เจอแฮะ

    ทีนี้ว่าด้วยความคุ้นชิน เราไม่รู้ว่าตั้งใจจะเขียนโลกในจิตนาการของตัวเองที่ไม่ใช่จีนเลยไหม แต่แอบเดาว่าไม่ใช่ทั้งหมด อาจจะสร้างมณฑลขึ้นมาเองแต่วัฒนธรรมยังอิงอยู่?

    ทีนี้ถ้าแบบนั้นมีข้อมูลแนะนำนิดหน่อย อย่างเรื่องโทรศัพท์ อืมม จะบอกว่าทุกวันนี้รู้จักเพื่อนคนจีนมาเป็นปียังไม่เคยมีเบอร์มันเลย เมื่อแรกเจอสิ่งที่คนจีนขอคือ wechat ล่ะ ส่วนถ้าเรียนด้วยกันก็จะเป็น qq มี weibo เป็นบล็อคที่เป็นงานอดิเรกจริงๆ อย่างสายคอส สายเมะ สายถ่ายรูปใช้กันเยอะ แต่มักเกิลปกติไม่เคยเห็น (และพวกสายเฉพาะนี่จะไม่ยอมให้มักเกิลรู้เลยด้วยนะ) 
    ต่อที่เรื่องโทรศัพท์ คนจีนไม่ค่อยโทร จะโทรเวลาสำคัญจริงๆ อย่างพัสดุไปรษณีย์ (สำคัญสุด) หรือเรื่องด่วนมากๆ ส่วนใหญ่ส่งข้อความเอา และส่วนมากก็ในวีแชท (มีเพื่อนที่มันไม่สบาย ไม่โทรหาเพื่อนะ ส่งข้อความเอา ไข้แตกจะตายมันก็ไม่ด่วน) อันนี้ก็ฝากไว้เฉยๆค่ะ

    ต่อมามีเรื่องดื่มชา จากที่เคยไปนั่งตะแล๊ดแต๊ดแต๋ ถ้าเป็นร้านปิด ไม่มีฝุ่น ราคาแพง อันนี้เฉยๆ แต่ถ้าเป็นร้านตามเมืองเก่า ย่านท่องเที่ยวที่ไม่ใช่แบบสยามสแควร์ขึ้นห้างติดแอร์ คนจีนสมัยใหม่จะมีวัฒนธรรมล้างแก้วเข้ามา (ทำกันทุกคน ไม่มองหน้าคนทำไม่เป็นเลยยย) คือถ้วยชาจะมาคู่กัน ถ้วยนึงเป็นทรงกระบอก อีกถ้วยเป็นทรงกลมเป็นถ้วยรองนั่นแหละ ทีนี้ก่อนเข้าสู่พิธีการเขาก็จะล้างกันโดยเทชาใส่ถ้วยทรงกระบอกแล้วเขย่าๆ (ประมาณว่าเชื้อโรคจงออกไปปป) แล้วก็จะเทใส่ถ้วยรอง จากนั้นจะคว่ำปากถ้วยทรงกระบอกตรงส่วนที่เราจะใช้ดื่มลงไปในน้ำ ทิ้งไว้สักพักแล้วเอาออก เอาน้ำล้างนั่นไปเทแล้วค่อยดื่มชาจริงๆ จบข่าวววว

    ต่อด้วยหมากล้อม แอบมีความรู้สึกว่าถ้าเป็นหมากรุกจีนจะมีความเป็นจีนมากกว่ายังไงก็ไม่รู้แฮะ

    เอาเป็นว่าถ้าลองใส่เรื่องวัฒนธรรมแทรกเข้าไปจะดีมากเลย งานจะดูมีอะไรมากกว่านี้ เพราะวัฒนธรรมจีนสมัยใหม่นั้นยังคงอยู่ และมันสุ่มเสี่ยงตรงที่ถ้าคนอ่านรู้เราจะโดนติงได้แบบ "ไอ้นี่รู้ไม่จริงนี่หว่า" อะไรทำนองนี้ค่ะ

    หรือถ้าจะกันปัญหาคือโลกนี้คือโลกของฉัน จบ แต่มันจะลอยไหมนั่นก็อีกเรื่องเนอะ

    ลืมอีกเรื่อง เรื่องชื่อ... ชื่อจีนจำยากค่ะ ดังนั้นใส่คาแรคเตอร์ให้เด่นน้อย ปัญหาอยู่ที่เด็กสาวสองคนซึ่งบางทีก็งงๆ ลองหลับตาแล้วไม่อ่านชื่อดู... เพราะเคยโดนติงมาเหมือนกันว่าถ้าชื่อยากคนอ่านจะไม่จำชื่อนะ แต่จำตัวละครเอา ทีนี้ถ้าตัวละครไม่เด่นพอ ไม่แตกออกจากกัน คนอ่านจะมองผ่านไปเลยค่ะ
  • ความคิดเห็นที่ 12

    Dòufu' nutta
    • Name : Dòufu' nutta < My.iD > [IP] 125.26.238.44
    • 14 มีนาคม 2559 / 22:59
    #10
    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำจากทางคณะกรรมการมากเลยค่ะ 
    ประโยคซ้อนนี่มีเยอะจริงๆ 

    ส่วนคำพูดนี่ลืมตัวไปเลยค่ะ ไม่ได้ทันนึกถึงอารมณ์ตัวละครเวลานั้นด้วย
    เลยกลายเป็นคำพูดเหมือนกำปั้นทุบดินสุดๆ เลย

    ================================================
    #11
    ขอบคุณมากนะคะ พี่ปัฐ
    ฮา... แอบเผลอหลุดเขียนมหาลัยแล้วมหาลัยเลยจริงๆ ด้วยค่ะ #อึ้ง
    ประโยคซ้ำซ้อนนี่เยอะมากจริงๆ ขนาดเกลาแล้วเกลาอีกนะคะ ฮา...
    ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากเลยนะคะ
    จะพยายามเอาไปปรับปรุงในตอนต่อไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ
  • ความคิดเห็นที่ 11

    dinn
    • Name : dinn < My.iD > [IP] 202.94.76.110
    • 14 มีนาคม 2559 / 21:00
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^

    "แกสอบตกจากการเป็นโจรย่องเบานะหลานชาย" ตรงนี้เขียนได้ดีครับ มุกต่อเนื่องเรื่องแจกันก็เยี่ยมเลย ^ ^b 
    มหาวิทยาลัยนะครับ ในประโยคคำพูด "..." อาจจะหยวนๆ ให้ใช้มหาลัยได้ แต่ประโยคบรรยายควรใช้ มหาวิทยาลัยดีกว่านะครับ ^ ^!!
    เจอคำซ้ำซ้อนอยู่หลายจุดที่คิดว่าเปลี่ยนแก้น่าจะดีกว่านะครับ
    แล้วก็ตอนจบบทที่ 2 นี้ ทำได้ดีมากเลยครับ ทำเอาอยากรู้ตอนต่อไปจริงๆ เลยครับ ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 10

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.229.183.148
    • 10 มีนาคม 2559 / 10:09
    สวัสดีค่ะ

    ยินดีด้วยที่เข้ามาถึงรอบนี้นะคะ :)

    คุณเขียนประโยคค่อนข้างยาวมาก และมีการซ้อนหลายประโยค พอเขียนประโยคยาวแบบนี้ เรื่องจะเดินได้ช้าลง เพราะใช้คำเยอะบรรยายเนื้อเรื่องนิดเดียว อย่างเช่นบทนี้เห็นได้ชัดว่าเรื่องช้า (แต่ยังอ่านต่อเนื่องดี) ระวังด้วยนะคะ

    พวกคณะและภาควิชาต่างๆ แบบจีน อาจจะต้องทำเชิงอรรถอธิบายไว้หน่อย เพราะคนอ่านจำนวนมากจะไม่ทราบระบบของทางจีน อ่านไปแล้วเจอ "ภาควิชา" แทนที่จะเป็นคณะ (เพราะในเมืองไทย พวกนี้แยกเป็นคณะหมด) ก็จะรู้สึกไม่เข้าใจ ที่อยากให้เชิงอรรถเพราะพอคนอ่านติดใจอะไรแล้วเขาจะติด ทำให้อ่านต่อสะดุด แต่เชิงอรรถไม่จำเป็นต้องยาวค่ะ นิดๆ หน่อยๆ พอให้เข้าใจระบบที่แตกต่างจากไทยก็พอ

    อีกอย่างคือตัวเอกพูดออกมาหน้าตาเฉยเลยว่า ถึงจะเป็นผู้หญิงก็ไม่ได้แย่อะไร แบบนี้ระวังคนอ่านผู้หญิงบางคนเคืองนะคะ เปลี่ยนไปบรรยายเพิ่มว่าตัวเอกไม่ชินกับผู้หญิง และใช้คำที่โทนดาวน์ลงมาดีกว่า ทำนองว่าโล่งใจ เออเข้ากันได้เหมือนกันเนอะ เป็นสารเดียวกัน แต่ไม่เป็นแง่ลบ

    ไม่ได้หมายความว่าคุณจะลบไม่ได้ในจังหวะที่ถูกต้อง แต่ในเมื่อตรงนี้ไม่จำเป็นก็ไม่น่าต้องใช้ค่ะ
  • ความคิดเห็นที่ 9

    Dòufu' nutta
    • Name : Dòufu' nutta < My.iD > [IP] 125.26.229.105
    • 8 มีนาคม 2559 / 10:56
    #7
    ชื่อเรื่องทำชะงักตั้งแต่เห็นเลยค่ะ ฮา...มันไม่อ่านภาษาจีน orz
    ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ


    #8
    คือ...จะว่ายังไงดี แบบตัวละครเรียนอยู่มหาลัยมณฑลใหญ่นะคะ
    แต่เมืองเล็ก ๆ นี่อยู่ใกล้เมืองหลวงของมณฑลใหญ่ที่สุด
    ก็เลยต้องมาจมปรัก(?)กันอยู่ที่เมืองนี้ (โครงประมาณนี้เลย)
    และคืออาจจะพลาดเรื่องข้อมูลไปบางส่วน (ฮาไม่ออกเลยค่ะ)
    แต่พวกเรื่องเรียน คือไม่ได้จงใจจะบอกว่าเรียนคณะไหนเลยค่ะ 
    แต่อยากจะให้เน้นไปที่วิชาที่พวกตัวเอกเลือกเรียนกันเลย
    (ส่วนตัวจะได้รู้อะไรก็จากเหล่าซือด้วย ซึ่งมีทั้งแปลออกและแปลไม่ออกไปตามๆ กัน) 
    เพราะกลัวว่าบอกคณะไปอาจจะไม่ตรงกับความจริงเลยกะให้ผู้อ่านรู้แค่ว่าแต่ละคนเรียนอะไร

    แนวทางใหม่เลยค่ะ ฮา..แต่เห็นแถวบ้านเขารำแบบยกแขนยกขากันเลย ;w;
    ก็เลยหยิบคุณลุงคุณป้าแถวบ้านมาใช้ประกอบไป

    อันนี้ก็ยังไม่แน่ใจแต่น่าจะทันเข้าช่วงอยู่(?)มั้งคะ ;w;

    เอ่อ...ส่วนตัวถนัดวาดให้มันออกมาดูน่ารักกุ๊กกิ๊กน่ะค่ะ ถ้าวาดตาเล็กๆ ตี่ๆ มันจะดูแปลกๆ ฮา...
    แต่โดยรวมก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากๆ นะคะ
  • ความคิดเห็นที่ 8

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.204.219
    • 8 มีนาคม 2559 / 10:12
    มาตามอ่านตอนสองแล้วรู้สึกแปลกๆ
    คือย้ายมาอยู่เมืองเล็ก? แต่มหาลัยดูใหญ่จังเลยค่ะ
    คือตามปกติวิสัยของพี่จีนแล้ว เขาจะมีมหาลัยเล็กๆที่เป็นเฉพาะทางเยอะแยะไปหมด 
    แบบมหาลัยการแพทย์ มหาลัยการเงิน มหาลัยวิทยาศาสตร์ มหาลัยครู  มหาลัยศิลปะ อะไรแบบนี้
    แต่มหาลัยที่รวมทุกๆศาสตร์ไว้ด้วยกันส่วนมากจะเป็นมหาลัยประจำมณฑลเสียส่วนใหญ่ ก็เลยแอบรู้สึกขัดๆน่ะค่ะที่ดูจะเรียนกันได้หลากหลายมาก
    อย่างที่มหาลัยที่เรียนอยู่นี่ก็ไม่มีสถาปัตฯนะ ถาปัดอยู่ในเครือหนึ่งของวิศวะเลย 

    เอาเป็นว่าลองรีเสิร์ซตรงนี้ดูหน่อยนะคะ เราไม่แน่ใจว่าที่นี่มีชื่อแบบคณะสถาปัตยกรรมหรือเปล่า ล่าคณะมาพอควรอยู่อย่างเรียนครูก็ไม่ใช่ครุฯ แต่เป็นพาร์ทของคณะภาษาและวรรณคดีอะไรงี้

    ต่อมาเรื่องไท้เก็ก... เราว่าบรรยายเพิ่มได้ว่าได้ยินเสียงดนตรีเพลงดังขึ้นมา แล้วก็รำมวยตามจังหวะ จะได้ไม่แค่ว่ายกแขนขาออกกำลังกาย

    อืมมม แล้วรู้สึกเรื่องยังไม่เดิน ยังอยู่ในช่วงแนะนำตัวละครมายาวๆเลย กลัวว่า 5 ตอนจะพรีเซ้นท์ความตื่นเต้นของเรื่องไม่ทันเนอะ

    สุดท้าย... ภาพประกอบคนจีนตาโตมากกกกก!! ฮาา
  • ความคิดเห็นที่ 7

    bodin Intrararujikul
    • Name : bodin Intrararujikul [IP] 171.96.183.146
    • 4 มีนาคม 2559 / 19:25
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^ แหม! สะดุดใจตรงชื่อเรื่องก่อนเลยครับ (ฮา) ทำไมอ่านแล้วนึกถึงบันทึกจอมโจรสุสาน...อานายน้อยน่ารักเหมือนกันเลยครับ อิอิ ^ ^ คำผิด...คงต้องดูเรื่องคำผิดอีกสักหน่อยนะครับ เจอหลายจุดพอดู ^ ^!! บรรยาเรื่องได้น่ารักมาก รู้สึกถึงความอบอุ่นของครอบครัวเลยครับ หวังว่าคงไม่หักหลังทำร้ายครอบครัวนายน้อยกันนา... 555 สนุกมากเลยครับ อ่านไหลลื่นดี เป็นกำลังใจให้นะครับผม ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 6

    Dòufu' nutta
    • Name : Dòufu' nutta < My.iD > [IP] 125.26.217.63
    • 3 มีนาคม 2559 / 08:42
    #4
    เว็บทำร้ายมากค่ะ เห็นที่อื่นขึ้นเลยคิดว่าคงไม่มีปัญหา
    ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะ

    =====================================
    #5
    เพิ่งมาดูอีกที เราพิมพ์ตกไปค่ะ TT ต้อง 'เรื่องแรกที่จริงจัง'
    ปกติแล้วจะสะเปะสะปะกว่านี้เสียอีก (ฟังจากที่เพื่อนตัวเองพูดกัน)

    อ่านดูก็หลายจุดจริงๆ เลยค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
    จะเอาคำแนะนำของทุกคนไปพัฒนาตอนต่อไปให้ได้มากที่สุด ขอบคุณค่ะ
  • ความคิดเห็นที่ 5

    Front
    • Name : Front < My.iD > [IP] 171.96.172.67
    • 1 มีนาคม 2559 / 19:07
    มาอ่านต่อ จุดบกพร่องค่อนข้างเยอะนะ คำผิด คำซ้ำ พิมพ์สลับกัน อ่านสะดุดบ่อย แล้วก็รู้สึกว่าบทสนทนาดูจะยืดเยื้อไปนะ เขียนเป็นเรื่องแรกสินะ ค่อยๆพัฒนาต่อไปแล้วกัน บทต่อไปก็ตรวจดูดีๆเนื้อหายังไม่เห็นอะไรมาก ขอดูตอนต่อไปก่อนแล้วกันนะ
    หนูฟรอนท์เป็นติ่งจีนจะคอยเชียร์นะคะ สู้ๆ 

  • ความคิดเห็นที่ 4

    Rayndeer
    • Name : Rayndeer < My.iD > [IP] 122.155.168.125
    • 1 มีนาคม 2559 / 17:17
    ตอนแรกที่เห็นเรื่องนี่้ผ่านเข้ารอบ แอบนึกในใจ 'แค่ชื่อก็แปลกแล้ว =_=' สุดท้ายเป็นเพราะเว็ปไม่อ่านภาษจีนนี่เอง 5555 นึกว่าจะเป็นนิยายแบบแปลกหลุดโลก แต่กลับเป็นอีกแนวนึง (ถ้าตัวอักษรตรงชื่อเรื่องขึ้นครบคงไม่เข้าใจผิด) สู้ๆ นะ จะรออ่านตอนต่อไปจ่ะ ^^ 
  • ความคิดเห็นที่ 3

    Dòufu' nutta
    • Name : Dòufu' nutta < My.iD > [IP] 125.26.217.63
    • 1 มีนาคม 2559 / 15:57
    #1
    ภาษาไม่ขึ้นค่า แหะๆ
    คำผิดคำเกินพรรณาเยอะเกินส่วนตัวว่ามีเยอะมากค่ะ เพราะเรื่องแรกด้วย orz
    ยังไงก็รับคำติชมจากทุกคนนะคะ

    ================================================
    #2
    มีอะไรไม่มีอะไรนี่ไม่บอกแล้วกันค่ะ ฮา...เพราะมันมีแน่ๆ (เอ๊ะ!?)
    คนจีนไม่มีค่ะ ครับ คะ เหมือนคนไทยนี่แหละค่ะ เลยอาจจะขัดไป(ไม่หน่อย) คิดว่านะ
    แต่พอไม่ได้แต่งแบบจีนย้อนยุคก็เลยต้องใช้น่ะค่ะ แหะๆ 

    อันนี้ยอมรับว่าพลาดเองค่ะ ตอนเขียนคือกะให้ตัวเองไม่ลืมว่า 'ซาน' เป็นเเซ่
    พอตอนส่งต้องย่อให้เป็น ต้าซาน (พี่ใหญ่ซาน) แต่ดันลืมค่ะ lllorz

    ขอบคุณสำหรับคำแนะนำมากเลยนะคะ 
  • ความคิดเห็นที่ 2

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 49.48.174.153
    • 1 มีนาคม 2559 / 14:52
    อ่านแล้วมันน่าสงสัยจริงๆนะ
    เด็กหนุ่มสองคนมีอะไรกันเหรออ สบตาปิ๊งๆ *w*
    แต่แอบรู้สึกขัก ซึ่งอาจจะมโนไปเองเวลาอ่านหางเสียง คะ ครับ
    ไม่รู้สินะ แต่พอเป็นจีนแล้วรู้สึกมันไม่คุ้นยังไงก็ไม่รู้

    แล้วก็เห็น "ต้าเกอซาน" ไม่รู้ว่าออกจะยาวไปมั้ย แอบรู้สึกไม่ใช่วิสัยคนจีนที่จะพูดยาวขนาดนั้น
    เท่าที่เคยเรียกคือ ต้าเกอก็คือต้าเกอ อยากเรียกแซ่ก็เป็น ซานเกอ 
    เท่าที่ศึกษาจากวิสัยคนจีนที่ชอบพูดคำสั้นๆน่ะนะคะ

    อ้อ "ศิวิไลซ์" เขียนงี้นะ

    ชอบพล็อตเรื่องอยู่นะ แต่แอบขัดๆว่าทำไมทุกคนดูจะสวมถังจวง ไม่เข้าจายยยย
    อื่นไม่มีอะไรแล้ว แค่เราอาจจะไม่คุ้นไปเองเมื่ออ้างถึงจีน
  • ความคิดเห็นที่ 1

    Front
    • Name : Front < My.iD > [IP] 171.96.173.12
    • 1 มีนาคม 2559 / 14:18
    แวะมาส่อง ชื่อเรื่องเป็นรหัสลับน่าฉงนมากๆ จริงๆมันเป็นภาษาจีนที่คอมสมองคอมประมวลผลไม่ได้สินะ
    เปิดมาน่าสนๆ เออ มีคำผิดคำเกิน พิมพ์กลับกันบ้างประปราย ยังอ่านไม่จบตอนอ่ะ เดี๋ยวว่างแล้วมาต่อ...

Page 1 of 1 1

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป