EN02 Magical Darren ตำนานหนุ่มน้อยเวทมนตร์
จะหาใครในโลกนี้ซวยเท่าผมได้ มีเเม่เป็นสาวน้อยเวทมนตร์ มีพ่อเป็นเรนเจอร์ในขบวนการห้าสี เเละทั้งคู่ก็คิดเองเออเองว่าอยากให้ผมสืบทอด...ได้เเต่หวังว่าความเป็นชายของผมจะไม่สั่นคลอนไปจนถึงตอนจบของเรื่อง!
[บทนำ] : ครอบครัวสาวน้อยเวทมนตร์
สาวน้อยเวทมนตร์…ผมเชื่อว่าพวกคุณคงรู้จักคำนี้ดี
คำว่า ‘สาวน้อยเวทมนตร์’ ตามพจนานุกรมฉบับตั้งเองสถานนั้น มีความหมายว่า ‘สาวน้อยผู้แปลงร่างได้ด้วยอุปกรณ์พิเศษ สวมชุดกระโปรงฟู่ฟ่องถือคทาออกมาต่อสู้กับเหล่าปีศาจร้าย’ โดยตัวหัวหน้าแก๊งนี้มักจะสวมชุดสีชมพู กระโปรงบานๆหรือมีระบายฟู่ฟ่องสุดแล้วแต่คนจะออกแบบ ซึ่ง..ผมเชื่อว่าในหมู่เด็กที่ชอบดูการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ คงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า สาวน้อยเวทมนตร์ แน่นอน
ทำไมคุณถึงมองผมแบบนั้น? อ้อ…คงจะงงสินะว่าผู้ชายที่ทั้งหล่อ ทั้งรวย หน้าตาก็ดี(มันก็ความหมายเดียวกับหล่อนี่หว่า..)แบบผมนั้นจะออกมาพูดเรื่องนี้ทำไม ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อ ดาร์เรน เป็นผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดในโลก แม้ว่าสีผมจะเป็นสีชมพูน่ารักก็ตามที มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เพราะมันเป็นพันธุกรรมมาจากแม่ เออ! เข้าเรื่องเนอะ ผมจะบอกคุณว่า..
ครอบครัวของผมสืบเชื้อสายมาจากสาวน้อยเวทมนตร์
คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ แล้วไม่ต้องมาจ้องหน้าผมแบบนั้น…ผมไม่ได้เมากาวเสียหน่อย!
เรื่องมันมีอยู่ว่า ผมเกิดในวงศ์ตระกูลที่ทวด ย่า ตา ยายล้วนอยู่ในวงการสาวน้อยเวทมนตร์กันหมด ทุกคนล้วนสวมชุดกระโปรงฟู่ฟ่อง แปลงร่างด้วยอุปกรณ์ชนิดพิเศษและแฝงตัวกับมนุษย์ธรรมดาเพื่อปกป้องพวกเขาจากปีศาจร้าย(แต่ยกเว้นปู่ของเขานะครับ เพราะท่านฝังตัวเองอยู่ในขบวนการห้าสี) แน่นอนว่ายังมีอีกหลายตระกูลมากมายก่ายกองเกินกว่าจะผมจะบรรยายได้ว่ามีตระกูลอะไรมากที่เด่นดังในวงการสาวน้อยเวทมนตร์นี้ พวกเราไม่ได้มีอยู่แค่ในการ์ตูนหรอกนะ พวกเรามีตัวตนจริงๆแล้วแพร่อยู่ทั่วโลกไม่ต่างอะไรกับเชื้อไวรัสเลย
มองเผินๆครอบครัวของผมมันก็เหมือนครอบครัวธรรมดาทั่วไปนี่แหละ ทุกคนมีหนึ่งแขน สองขา หน้าตาพัฒนาการมาจากลิงเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่แตกต่างจากครอบครัวทั่วไปคือ พ่อของผมทำงานเป็นเรนเจอร์สีแดงอยู่ในขบวนการห้าสี ส่วนแม่ของผมนั้นเป็นสาวน้อยเวทมนตร์สีชมพู ที่ปกติแล้วจะเป็นพนักงานบริษัทอันแสนธรรมดา แต่วันไหนเกิดภัยพิบัติ ปีศาจบุก ไดโนเสาร์ฟื้นคืนชีพ นกฮูกกลายสภาพเป็นพิซซ่า แม่ก็จะแปลงร่างด้วยการถอดแว่นตาและสวมชุดกระโปรงโลลิต้าสีชมพูหวานแหววโรยด้วยกากเพชรออกไปสู้เหล่าร้าย…
และแน่นอนว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อกับแม่ หลานคนเดียวของวงศ์ตระกูล เมื่อถึงเวลาที่ผมอายุได้ 15 ปีดังเช่นตอนนี้ แม่กับพ่อก็เริ่มเถียงกันว่า ผมควรจะไปเป็นเรนเจอร์เหมือนพ่อ ใส่ชุดปิดหน้าปิดตา ขับหุ่นยนตร์หน้าตาประหลาดที่ขยายร่างตัวเองได้เพื่อสู่กับสัตว์ประหลาดตัวเท่าตึก หรือจะไปเป็นสาวน้อยเวทมนตร์เหมือนแม่ ใส่กระโปรงแหวนแหววแต๋วจ๋าดี
ทำไมไม่มีใครถามผมบ้างเลย(วะ)ว่าผมอยากเป็นอะไร!?
“ตระกูลของเราสองคนสืบทอดเชื้อสายสาวน้อยเวทมนตร์มาจากรุ่นสู่รุ่น คุณก็รู้ดีนี่คะ ดาร์ลิงค์! ดังนั้นดาร์เรนควรจะมีโอกาสได้รับเกียรติสืบทอดเวทมนตร์อันสูงส่งนี้นะคะ คุณคงไม่อยากปิดโอกาสลูกใช่ไหม!” ครับ…คนพูดนั่นคือแม่ของผมเอง แม่รวบผมสีชมพูขึ้นเป็นมวยและสวมแว่นตา มองเผินๆคล้ายสาวแว่นธรรมดา แต่พอแปลงร่างออกมานี่…ช่างเถอะ
“แต่ดาร์เรนเป็นผู้ชาย ลูกควรทำงานแบบลูกผู้ชายมากกว่า! ให้ดาร์เรนเข้าสู่วงการเรนเจอร์สิ นี่มันเป็นฮีโร่สำหรับลูกผู้ชายตัวจริง” และคนพูดประโยคนี้ก็คือพ่อของผมเอง พ่อสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อโค้ทสีแดงเข้ม แม้ว่าหน้าจะแก่แล้วแต่ก็ยังพยายามทำตัวเองให้ดูเหมือนวัยรุ่นเสมอ ส่วนผมน่ะเหรอครับ? ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่าทั้งสองคนนี้ และถูกชักเย่อไปมา
“สาวน้อยเวทมนตร์ดีกว่าค่ะ คุณคงไม่อยากให้มนตราในตัวของลูกต้องมาเสียเปล่าใช่ไหมคะ!”
“ให้มันไปเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ เดี๋ยวมันก็ได้กลายพันธุ์เหมือนกับเจ้าพวกเด็กในชุมชนสีชมพูนั่นหรอก ที่สำคัญมันอาจจะโดนสมาคมต่อต้านสาวน้อยเวทมนตร์จับไปก็ได้ คุณก็รู้นี่ว่าวงการของคุณน่ะ มันอันตรายขึ้นทุกวัน”
“นี่คือหน้าที่ที่พวกเราสืบทอดกันมาแต่โบราณ! ถ้าไม่มีใครสืบทอดล่ะก็ สักวันหน้าที่อันทรงเกียรติของสาวน้อยเวทมนตร์จะหายไปนะคะ”
“แต่หน้าที่เรนเจอร์สำคัญกว่าและยังเท่กว่าด้วย สมกับลูกผู้ชายสุดๆ”
“คุณกับพ่อของคุณเพิ่งทำมาแค่สองรุ่นเอง แต่ของฉันน่ะเป็นสิบๆรุ่นแล้วนะคะ!”
“เอ่อ….” นี่คือเสียงผมเองครับ เสียงหล่อล่ะสิ…ผมพยายามจะขัดพ่อกับแม่ที่เถียงกันและดึงแขนผมไปมา ทั้งๆที่อายุอานามก็ตั้งเยอะแล้ว ทำไมยังทำตัวเด็กๆกันอีกนะ ผมกลอกตาและถอนหายใจ ทั้งคู่ไม่เปิดโอกาสจะให้ผมคัดค้านเลยแม้แต่นิดเดียว
“ผมยังไม่เคยบอกเลยว่า อยากจะสืบทอด….”
“เอางี้ เรามาเป่ายิงฉุบกันดีกว่า!” เสียงของผมถูกเสียงแหลมแปดหลอดของแม่กลืนหายไป ผมกระพริบตาปริบๆ อ้าปากขึ้นมา รอบนี้ผมจะตะโกนแล้วนะ ให้พ่อกับแม่รู้ซะบ้างว่าผมไม่อยากเป็นสาวน้อยเวทมนตร์หรือเรนเจอร์อะไรนั่น ผมไม่อยากสืบทอดหน้าที่ประหลาดๆของบ้าน ผมอยากเรียนในโรงเรียนมัธยมธรรมดาสามัญ ไม่ใช่โรงเรียนเพื่อสาวน้อยเวทมนตร์หรือโรงเรียนเพื่อเรนเจอร์ห้าสีที่พ่อกับแม่เลือกให้
“ผมไม่อยากเป็น….”
“ฉันชนะ!” แม่ของผมตะโกนออกมาอย่างยินดีปรีดา ทั้งคู่เป่ายิงฉุบกันด้วยความเร็วเหนือมนุษย์มนามาก ผมยังพูดไม่จบประโยคด้วยซ้ำ พ่อของผมทำคอตกทันทีที่เป่ายิงฉุบแพ้แม่ “ดาร์เรน! พ่อขอโทษนะที่พ่อปกป้องลูกไม่ได้…พ่อเสียใจ!” พ่อพุ่งเข้ามาจับไหล่ผมและร้องไห้โฮไม่เข้ากับภาพลักษณ์เท่ๆรวมไปถึงผมทรงที่อุตส่าห์เซ็ตเป็นทรงนักร้องเกาหลีอย่างดีเลยแม้แต่นิดเดียว
และทันใดนั้นเองแม่ของผมก็ใช้สะโพกผลักพ่อออกไป มือที่ทาเล็บสีชมพูสดของแม่จิกเข้าไหล่ของผม ดวงตาสีชมพูสดใสของแม่เป็นประกาย “ดาร์เรน! แม่ทำได้แล้วจ๊ะ..แม่เอาชนะพ่อได้แล้ว สมกับเป็นตัวแทนแห่งความรักและสันติภาพจริงๆเลยเนอะ” แม่บอกด้วยเสียงที่ตื่นเต้นมากๆ พร้อมกับประโยคพูดเดิมๆที่แม่มักจะใช้เวลาต้องไปปราบเหล่าวายร้าย
“ทีนี้ลูกก็จะได้ไปเข้าโรงเรียนสำหรับสาวน้อยเวทมนตร์แล้วนะจ๊ะ!!”
“ผมไม่เคยบอกว่า ผมอยากจะเข้าโรงเรียนบ้าๆนั่น…” ผมพูดออกไปจนได้ สีหน้าตายด้านและกวนตีนเท่าที่กล้ามเนื้อใบหน้าของผมจะสามารถแสดงออกมาได้ แต่ผมใจแข็งได้ไม่นานจริงๆครับ เพราะแม่ทำหน้าเหมือนกับคำพูดของผมเป็นทั่งเหล็กแล้วตกใส่หัวเธอ แม่ก้าวเท้าถอยหลัง ยกมือขึ้นมาป้องปากเอาไว้ น้ำตาเอ่อคลอดวงตาสีชมพูหวานของแม่ ประหนึ่งผมเอามีดไปเสียบอกท่าน
“ฮึก…ดาร์เรน…ลูก…ลูกไม่ชอบงานสาวน้อยเวทมนตร์ของแม่งั้นเหรอจ๊ะ ฮึก ฮือ” แม่เริ่มสะอื้นหนักมาก มุขนางเอกนี่อีกแล้ว ผมเกือบจะใจอ่อน แต่พอนึกภาพว่าตัวเองจะต้องสวมชุดโลลิต้าสีชมพูแบบแม่แล้วออกไปปราบผู้ร้ายเนี่ย ผมไม่ไหวจริงๆครับ
“ใช่ครับ” ผมตอบไปแบบนั้น ในหัวพยายามคิดหาคำอธิบายให้แม่เข้าใจหากแต่ แม่กลับเป็นลมและล้มตึงหงายท้องกับพื้นทันที!! ในระหว่างที่ผมมัวแต่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พ่อของผมก็รุดเข้าไปประคองร่างอันไม่ได้สติของแม่เอาไว้ “ที่รัก ทำใจดีๆเอาไว้นะ! อย่า…อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ! พระเจ้า!! ดาร์เรน นี่ลูกทำอะไรลงไป!”
และแล้วพ่อที่เมื่อกี้ยังโศกกับการที่ผมต้องเป็นสาวน้อยเวทมนตร์บ้าๆนั่น ก็เปลี่ยนอารมณ์และความคิดไวราวกับกิ้งก่าทันทีที่ภรรยาสุดที่รักเป็นลม! ผมรู้สึก…ช็อต พูดไม่ออก เหมือนกับตัวเองโดนล็อคมือล็อคเท้าเอาไว้ แม่เจ้า! แบบนี้..ผมคิดว่าผมคงจะดิ้นไม่หลุดเสียแล้ว
แม่ของผมนี่ช่างร้ายกาจจริงๆ
“เข้าใจแล้วครับ…ผมไปก็ได้!!”
เลิกแกล้งเป็นลมได้แล้วครับ แม่!!
(จบบทนำ)
+++++++++++++++
[Chapter 1] : โรงเรียนเพื่อสาวน้อยเวทมนตร์
สาวน้อยเวทมนตร์…คือสิ่งมีชีวิตน่ารำคาญที่สวมชุดฟู่ฟ่องพองระยิบและวิ้งๆด้วยกากเพชร
สาวน้อยเวทมนตร์…คืออาชีพที่ผู้ชายอกสามศอกอย่างผมไม่สมควรจะไปทำอย่างยิ่ง
และสาวน้อยเวทมนตร์….
“ดาร์เรน ตื่นได้แล้วจ๊ะ..เดี๋ยวไปรายงานตัวสายนะ!”
เสียงแม่ตะโกนเรียกตั้งแต่เช้า แต่ผมไม่อยากจะลุกขึ้นเลยด้วยซ้ำ เช้าวันนี้เป็นวันที่ผมต้องไปรายงานตัวกับโรงเรียนเพื่อสาวน้อยเวทมนตร์โง่ๆนั่น มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกรัดคอ ลากลงน้ำ หายใจไม่ออกและอาจเสียชีวิตได้! ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลมันเริ่มมาจากบ้านของผมสืบเชื้อสายมาจากสาวน้อยเวทมนตร์ ทุกรุ่นต้องมีคนสืบทอดอาชีพนี้ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ผมดันเป็นหลานชายคนเดียวของวงศ์ตระกูลและแม่ก็ขอร้องให้ผมไปเรียนโรงเรียนชมพูนั่นเพื่อสืบทอด…
ผมไม่เคยบอกสักคำเลยว่า อยากสืบทอด…
มันเป็นเรื่องแย่ที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากลุกขึ้นมาจากเตียงและจ้องมองชุดนักเรียนใหม่ของตัวเอง มันเป็นเสื้อเชิ้ตที่มีจีบระบายเห่ยๆ กางเกงขายาวสีชมพูแปร๋นซึ่งบอกได้คำเดียวว่าชาตินี้ผมไม่มีทางซื้อเสื้อผ้าพรรณนี้มาใส่เองแน่ๆ เนคไทก็เป็นลายหัวใจ เห็นแล้วรู้สึกขนลุกขนพองสยองเกล้า แต่พอแม่ส่งเสียงเรียกขึ้นมาอีก ผมก็ต้องทำใจยัดร่างของตัวเองลงไปในชุดหวานแหววนั่น ผมกลายเป็นนักเรียนของโรงเรียนเพื่อสาวน้อยเวทมนตร์ไปแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองถูกเหวี่ยงลงจากตึกสิบชั้น อนาคตมืดบอด..
ผมมาถึงจุดๆนี้ได้ยังไง จุดที่ผมต้องไปเรียนโรงเรียนเห่ยๆ…
ถ้าย้อนเวลากลับไปวันที่แม่กับพ่อเถียงกัน หรือวันที่แม่บังคับให้ผมเขียนใบสมัครได้ล่ะก็…
“ว้าย! ตายแล้ว…ลูกชายของแม่หล่อมากเลยจ๊ะ” แม่ส่งเสียงวี๊ดว้ายทันทีที่ผมเดินลงมาด้านล่าง ผมสีชมพูของแม่เกล้าเป็นมวยเหมือนทุกวัน ดวงตาคู่โตใต้กรอบแว่นนั่นมีประกายยินดีเหมือนกับได้รับรางวัลสาวน้อยเวทมนตร์ดีเด่น เฮ่อ…จะแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับ นี่คือ เดซี่ แม่ของผมเอง ปกติทำงานเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา แต่ถ้ามีวายร้ายปรากฏตัวเมื่อไหร่ แม่จะแปลงร่างเป็นสาวน้อยเวทมนตร์แสนสวยในชุดกระโปรงฟู่ฟ่องสีชมพู
“ขอบคุณครับ..” ผมบอก แม้ในใจจะรู้สึกซังกะตาย ผมมีปัญหากับรสนิยมของแม่มานานหลายปีแล้ว แม่ชอบซื้อเสื้อผ้าที่มีแต่ลูกไม้และระบายมาให้ ผมล่ะ..ไม่เคยจะเข้าใจรสนิยมของสาวน้อยเวทมนตร์เลยจริงๆ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเสื้อผ้าแบบนี้มันแปลกหรอกนะ จนกระทั่งเริ่มเข้าเรียนชั้นประถมแล้วถูกเพื่อนๆล้อนั่นล่ะ ผมตาสว่างมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย
“แม่เตรียมอาหารเช้าไว้ให้นะจ๊ะ สุดหล่อ ทานเยอะๆนะแล้วรีบไปโรงเรียนด้วยนะจ๊ะ ลูกคงไม่อยากพลาดพิธีปฐมนิเทศใช่ไหม?” แม่ขยิบตา ผมไม่อยากบอกท่านเลยว่า พิธีปฐมนิเทศของโรงเรียนเห่ยๆนั่นคือพิธีสุดท้ายในชีวิตที่ผมอยากจะเข้าร่วม ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหารซึ่งมี แมกซ์ พ่อของผมนั่งอยู่ก่อนแล้ว วันนี้พ่อแต่งตัวเหมือนพวกนักบิดมอเตอร์ไซค์ เข็มขัดที่ใช้สำหรับแปลงร่างเป็นเรนเจอร์ของพ่อคาดอยู่ที่เอว
“ไง รูปหล่อ…พร้อมหรือยังสำหรับโรงเรียนใหม่?” พ่อถามด้วยรอยยิ้ม เป็นคำถามที่แย่มาก เพราะแค่มองหน้าผม คุณจะรู้ทันทีว่าผมรู้สึกไม่พร้อมขนาดไหน “ก็คงงั้น..” ผมตอบเสียงเบา เริ่มลงมือจัดการข้าวเช้าของตัวเอง การย้ายจากโรงเรียนมัธยมธรรมดาไปเรียนโรงเรียนสำหรับสาวน้อยเวทมนตร์นั้น มันเหมือนกับเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต สิ่งที่เห็นชัดคือ…ผมทานอะไรก็ไม่รู้สึกว่ามันอร่อยเลย
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว เวลานรกก็มาถึง..เวลาไปโรงเรียนนั่นเอง ผมต้องไปขึ้นรถบัสของโรงเรียน โดยยืนรอที่ป้ายสีชมพูวิ้งๆมีตราสัญลักษณ์รูปหัวใจ ลักษณะคล้ายป้ายรถเมล์นั่นล่ะครับ แต่มีเพียงแค่ผู้สืบทอดสายเลือดของสาวน้อยเวทมนตร์เท่านั้นที่เห็น นักเรียนที่มารอรถบัสร่วมกับผมด้วยนั่น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเด็กผู้หญิง แต่งตัวหวานแหววกันมาก จนผมคิดว่าตัวเองหลุดเข้ามาอยู่ในดงคิตตี้
ภายในรถบัสเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นเฉียบ ข้างในตกแต่งด้วยสีชมพู ผ้าม่านก็มีชายลูกไม้ติด มันเป็นอะไรที่ผมไม่มีทางขึ้นมาเองแน่ๆหากไม่ถูกบังคับ ผมกลืนน้ำลาย เข้ามานั่งตัวแข็งอยู่บนเก้าอี้และมองสาวๆในชุดนักเรียนโลลิต้าพูดคุยกันตามประสาผู้หญิง เท่าที่ผมสังเกต…ในรถบัสมีผู้ชายน้อยมาก และส่วนใหญ่ก็ดูจะไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ(คุณเข้าใจความหมายของผมใช่ไหม?)
“ว้าย! แก…คนนั้นหล่อจังเนอะ” ผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างสะกิดเพื่อนผู้ชายข้างๆตน แล้วกลุ่มเด็กผู้ชายพวกนั้นก็หันมามองผม ก่อนเริ่มหัวเราะคึกคัก..มันเป็นเสียงหัวเราะที่ผมรู้สึกสะท้านไปทั้งร่าง
“เออ หล่อจัง..น่ากิน”
“ขอสักคำได้ไหมนะ…”
“แกคิดว่าเขา ‘เป็น’ ป้ะ? คิกๆๆๆ”
วินาทีนั้นผมอยากตะโกนว่า..ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง แต่พอมาลองคิดดูแล้วเงียบไว้ดีกว่า
โอ๊ย…ชีวิต ไม่รู้จะสถบออกมาเป็นภาษาอะไรดี!
โรงเรียนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว ปราสาทสีชมพูหวานแหววที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นด้วยเพราะติดบาเรียเวทมนตร์ มันมีสภาพเหมือนกับปราสาทเจ้าหญิงในการ์ตูนเรื่องบาร์บี้ที่ยัยน้องข้างบ้านชอบเปิดดูไม่มีผิด น้ำพุสีชมพู ต้นไม้ออกลูกเป็นเพชรทรงหัวใจระยิบระยับ อุดมไปด้วยสัตว์ในเทพนิยายต่างๆกำลังหัวเราะคิกคักกับมวลดอกไม้ ผู้คนในชุดระบายฟู่ฟ่องเดินกันให้ว่อนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะมองมุมไหนที่นี่ก็เป็น…
แดนประหารชัดๆ!!!
ผมก็อยากบรรยายสถานที่นี้ให้คุณทราบมากกว่านี้ แต่ผมไม่อาจทนมองปราสาทสีชมพูหลังนี้ได้นานจริงๆ ถ้าไม่มาเองคุณไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ…ว่ามันน่าขนลุกขนาดไหน อารมณ์เหมือนตัวเองจะกลายสภาพเป็นเจ้าหญิงนางฟ้าปัญญาอ่อนถือคทาโบกๆให้โลกมีแต่สันติภาพเลย
“เอ้า นักเรียน..ลงมาจากรถได้แล้ว” ลุงคนขับรถในเครื่องแบบสีชมพูคอปกผ้าลูกไม้ พร้อมกับโบว์สีชมพูบนหัวส่งเสียงเรียกผมซึ่งนั่งอยู่บนรถเป็นคนสุดท้าย(เพราะทำใจไม่ได้ ไม่อยากลงจริงๆ) ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ภาวนาในใจว่า ‘เอาก็เอาวะ…ตายเป็นตาย’ แล้วเดินลงมา ทันทีที่รองเท้าคอร์นเวิร์สของผมเหยียบลงบนพื้นหินอ่อนสีชมพูของโรงเรียน ผมก็รู้สึกได้ว่า…ออร่าสีชมพูแปร๋นพวกนี้กำลังจะทำให้ผมตาบอด!!
ดูต้นไม้ในโรงเรียนสิ ใบไม้เป็นสีชมพูดูโง่ๆ…
ดูเจ้าม้ายูนิคอร์นที่ถูกผูกเอาไว้ตรงนั้นสิ หางของมันเป็นสายรุ้งโง่ๆ…
ดูม้านั่งสีชมพูที่มีตุ๊กตาในชุดโลลิต้าสีชมพูโง่ๆนั่นนั่งอยู่สิ ตาโตจนเหมือนเอเลี่ยนไม่มีผิด
นี่ตูหลุดมาในดินแดนอะไรวะ…
“หวัดดี!”
“ว้าก!!” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีใครบางคนตะปบไหล่ผมจากด้านหลัง เมื่อผมหันไปมองก็ต้องพบกับนักเรียนชายคนหนึ่ง คาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเด็กปีหนึ่งเช่นเดียวกับผมนี่ล่ะ หมอนี่มีผมสีส้มสะท้อนแสงคล้ายกับสีปากกาไฮไลท์ไม่มีผิด มันกระแทกลูกตามากจนผมต้องหรี่ตามอง ให้ตาย..ผมจริง? ย้อมผม? น่าจะย้อมมากกว่า คงไม่มีมนุษย์โลกไหนมีผมสีกระแทกลูกตาขนาดนี้โดยธรรมชาติแน่ๆ
อะไรเข้าฝันให้เอ็งย้อมผมทรงนี้?
นี่คือคำถามเด่นๆที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดมันออกไป สีผมแบบนี้..ผมบอกได้เลยคำเดียวคือ สามารถมองเห็นได้ในระยะไกลและในที่มืด “เราชื่อ เมเดีย..นักเรียนชายมีจำนวนน้อย เพราะงั้นเรามาสนิทกันไว้นะ!” ว่าที่เพื่อนใหม่ของผม(ขออนุญาตให้เป็นว่าที่ไปก่อน เพราะผมกำลังไตร่ตรองอย่างละเอียดว่าควรนับมันเป็นเพื่อนดีหรือไม่)บอกเสียงสดใสและเป็นมิตร พร้อมกับยื่นมือมาหาผมเพื่อให้จับมือทักทาย
“เอ่อ…หวัดดี เราชื่อดาร์เรน” ผมแนะนำตัว ในใจของผมกำลังตะโกนมาจากก้นบึ้งว่า..
อย่าไปเป็นเพื่อนกับหมอนี่เลย ท่าทางมันดูไม่เต็มบาท
“ยินดีที่ได้รู้จักนะดาร์เรน! ไม่ต้องจ้องเราขนาดนั้นก็ได้นะ… เรารู้ตัวดีว่าเราสวย!” เมเดียหัวเราะคิก แต่ผมกำลังตกใจกับท้ายประโยคที่หลุดออกมามากกว่า ครั้นจะหลุดปากถามว่าที่เพื่อนใหม่ว่า ‘เป็นป้ะ?’ มันก็คงจะกระไรอยู่ สุดท้ายผมจึงเลือกเงียบๆไว้ และเมเดียก็ถือวิสาสะจับมือผมเพื่อเดินไปที่หอประชุม บางทีผมควรสะบัดมือมันออกรึเปล่าฟะ?...ผมว่าผมควรทำนะ หมอนี่มันหลอกแต๊ะอั๋งผมรึเปล่าเนี่ย!!?...อันตราย โรงเรียนบ้านี่มันอันตรายจริงๆ
การปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ถูกจัดขึ้นที่หอประชุม มันเป็นหอประชุมสีชมพูที่สร้างเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ ข้างหน้ามีรูปปั้นสาวน้อยเวทมนตร์ราวๆเจ็ดคนยืนแอคท่าปราบปีศาจอยู่ ถ้าให้ผมเดาคงเป็นกลุ่มสาวน้อยเวทมนตร์ที่ช่วยกันก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้น ทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ?...หนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษของผมเองครับ
ถึงแม้ว่าโรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนของสาวน้อยเวทมนตร์ แต่ก็มีผู้ชายเรียนอยู่ด้วย เพียงแค่สัดส่วนของนักเรียนชายนั้นมีแค่ 30% จากนักเรียนทั้งหมดเท่านั้น ยิ่งเดินเข้ามาในหอประชุมแบบนี้ยิ่งตอกย้ำเปอร์เซ็นนั่นได้เป็นอย่างดี เพราะจำนวนผู้ชายร่อยหรอมาก ยืนเข้าแถวกันเป็นกระจุกเล็กๆ มองยังไงมันก็ดูอนาถา แถมส่วนใหญ่ก็ไม่น่าจะใช่ผู้ชายจริงๆด้วย
ห้องโถงที่นี่ค่อนข้างกว้าง ประดับประดาด้วยเสาไอโอนิกสีชมพู เพดานยกสูงขึ้นมีภาพวาดสงครามสาวน้อยเวทมนตร์และปีศาจแต่งแต้มเอาไว้ มันก็สวยดีนะ…ลายเส้นทรงพลังจนทำให้ผมขนลุก นักเรียนปีหนึ่งยืนเข้าแถวกันหน้าเวทีเพื่อรอให้ผู้อำนวยการเข้ามากล่าวต้อนรับ
“ตื่นเต้นจัง จะได้เจอผู้อำนวยการแล้ว…ดาร์เรนก็อยากเจอเหมือนกันสินะ?” ในระหว่างอยู่ในแถว เมเดียก็หันมากระซิบกระซาบกับผม เจ้าหัวสีปากกาไฮไลท์คนนี้มนุษย์สัมพันธ์ดีมาก เที่ยวทักคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ผมล่ะแปลกใจจริงๆ ทุกคนไม่กลัวสีหัวมันรึไงกัน?
“ก็..อยากมั้ง” ผมตอบอ้อมแอ้ม เอาจริงๆคือ ไม่อยากเจอ
“เนอะๆ เป็นคนที่น่าทึ่งมากเลย”
“อือ…มั้ง”
“นี่ดาร์เรน?”
“อะไร?” ผมเริ่มรำคาญเจ้าหัวส้มนี่แล้ว เรียกอะไรนักหนา พอหันไปมองเมเดียที่ยืนเข้าแถวอยู่ด้านหลังก็พบว่ามันทำหน้าตาจริงจังมาก หรือว่าจะเป็นเรื่องสำคัญกันนะ? เมเดียกระแอมเบาๆก่อนจะถามผมด้วยเสียงเข้มๆว่า..
“ดาร์เรนคิดว่าเราสวยป่ะ?”
…..โอ๊ย!! ผมอยากจะบ้าตาย เซลล์สมองผู้ชายคนนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ มนุษย์โลกไหนจะเที่ยวถามคนที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงซ้ำๆว่าตัวเองสวยรึเปล่ากันฟะ? แม้ผมจะคิดในใจแบบนั้น แต่สมองของผมก็สั่งการไม่ให้ตัวเองพูดในสิ่งที่คิดออกไป ไม่งั้นผมคงได้สร้างศัตรูตั้งแต่วันแรกที่มาโรงเรียนแน่ๆ
“อือ…สวย” ผมตอบ…กัดฟันตอบ!
“เราว่าแล้ว ดาร์เรนกับเราน่ะ…ต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแน่ๆ ยิปปี้!” เมเดียยิ้มกว้างอย่างดี เหมือนหมอนี่จะเหมาว่าผมเป็นเพื่อนตาย เพื่อนรัก เพื่อนเลิฟ…อะไรก็ช่างของมันไปแล้ว ตัวผมได้แต่เค้นยิ้มออกมา เหมือนหัวใจของผมด้านชาและกำลังจะกลายเป็นหิน
“นักเรียน! เงียบๆหน่อยสิ ผู้อำนวยการมาแล้วนะจ๊ะ!” อาจารย์ประจำชั้น ที่แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังสวมชุดสาวน้อยเวทมนตร์กระโปรงฟู่ฟ่องสีฟ้า มือถือคทาที่มีอัญมณีเจิดจ้าเป็นสีรุ้งหันมาดุพวกเขา ถ้าผมเป็นคนปากเสียมากพอ ผมจะตะโกนบอกป้าแกว่า ‘เฮ้! ป้าแต่งตัวไม่ดูหนังหน้าเลยนะ’ แต่เพราะผมยังพอจะสะกดคำว่ามารยาทได้อยู่บ้าง ดังนั้นผมจึงไม่ได้พูดมันออกไป
“สวัสดีนักเรียนทุกคน ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนเพื่อสาวน้อยเวทมนตร์ หรือ รพสนว. ทางโรงเรียนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะอบรมพวกเธอให้กลายเป็นสาวน้อยเวทมนตร์อันแสนน่ารัก เพื่อแฝงตัวเข้าไปในสังคมของมนุษย์และปกป้องมนุษยชาติจากเหล่าวายร้าย..”
ดูเหมือนผู้อำนวยการจะมาถึงแล้ว ผมจึงเลิกให้ความสนใจเจ้าบ้าเมเดียและหันไปมองเขาแทน สิ่งที่ผมเห็นคือ ชายวัยกลางคนอายุราวๆสัก 50 ปี สวมชุดกระโปรงฟู่ฟ่องสีชมพูเหมือนกับในอนิเมชั่นสาวน้อยอะไรสักอย่าง ตัวกระโปรงนั้นสั้นเหนือเข่าทำให้เห็นขนหน้าแข้งที่เรียวขาของเขาได้อย่างชัดเจน บนศีรษะสวมมงกุฎเทียร่าเอาไว้ และกลางหลังก็มีปีกนางฟ้าเล็กๆ ใบหน้าที่มียับย่นตามวัยนั้นถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง ขัดกับหนวดเคราสีเข้มที่ขึ้นดกหนาบนใบหน้า
แม้จะเคยเห็นผู้อำนวยการมาแล้วในเว็บไซต์ของโรงเรียน…แต่เห็นตัวจริงแบบนี้ออร่าแกร่งมากจนตาผมเกือบบอด ผมรู้สึกอยากจะเดินออกไปจากโรงเรียนบ้าๆนี่ เพราะบางทีถ้าผมเรียนไปเรียนมา ผมอาจจะกลายพันธุ์เป็นตัวอะไรก็ตามที่บ้าลูกไม้และปีกนางฟ้า
แม่ครับ…ทำไมแม่ทำกับผมแบบนี้!!
“ดาร์เรนๆ…นายน้ำตาไหลทำไมอ่ะ?” เมเดียชะโงกหน้ามามองหน้าผมและถามด้วยความสงสัย ผมอยากตะโกนบอกมันว่า ‘ไม่รู้สักเรื่องจะได้มั้ย?’ แต่ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ทัน อา..นี่ผมน้ำตาไหลงั้นเหรอ บางทีผมกำลังจะได้ไปหาคุณย่าที่อยู่บนสวรรค์สินะ?
“เรากำลัง…ตะลึงความงดงามของผู้อำนวยการอยู่” ผมบอกเสียงเบา
“อะไรกัน…ดาร์เรนเห็นว่าผู้อำนวยการสวยกว่าเราเหรอ!” เมเดียทำจมูกฟึดฟัด ผมคิดว่ามันเป็นหัวข้อสนทนาที่ปัญญาอ่อนมากและมันควรจะต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้จึงเลือกที่จะเงียบ หลังจากผู้อำนวยการมิสตี้พิงค์ กล่าวปฐมนิเทศจบ ก็มีการแนะนำบุคลากรสำคัญๆในโรงเรียน วิชาที่ต้องเรียน ซึ่งนั่นมันก็..น่าเบื่อมาก มีแต่พวกยายแก่ใส่ชุดกระโปรงฟู่ฟ่องสีแสบทรวงทั้งนั้น
เดี๋ยวนะ..วิชาที่จะต้องเรียนงั้นเหรอ?
อา นั่นสินะ…นี่ผมจะต้องเรียนจังหวะการเต้นเพื่อการแปลงร่าง
เรียนวิธีการปราบปีศาจด้วยอาวุธสุดน่ารัก เต็มไปด้วยสีชมพูและหัวใจ…
หรือ….โอ๊ย!! ดาร์เรนหยุดคิดเถอะ ยิ่งคิดผมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นบ้า! ผมน่าจะใจแข็งกับแม่อีกสักหน่อย ไม่น่ายอมแม่เลยจริงๆ ผมน่าจะตะโกนบอกไปเลยว่า ผมอยากเป็นเด็กธรรมดา เรียนโรงเรียนมัธยมธรรมดาๆ มีเพื่อนเป็นคนธรรมดา..ไม่ใช่ไอ้บ้าหัวส้มสะท้อนแสงนี่ ผมควรจะทำแบบนั้น…แล้วทำไมตอนนั้นผมถึงไม่ทำกันฟะ?
“ยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนของเรานะ นักเรียนทุกคน!” พวกอาจารย์ในชุดกระโปรงระยิบระยับพูดขึ้นพร้อมกัน น้ำเสียงหวานปานน้ำผึ้ง แต่สำหรับผมมันเหมือนกับเคลือบด้วยพิษร้าย ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา…บางทีที่ผมน้ำตาไหล คงเพราะสถานที่บ้าๆนี่นั่นแหละ
ชีวิตของผมต่อจากนี้จะเป็นยังไงกันนะ?
กระผม นายดาร์เรน…รายงานครับ
ผู้แต่ง : Hestia
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | ครอบครัวสาวน้อยเวทมนตร์ | 25 ม.ค. 59 |
2 | การแปลงร่างของสาวน้อยเวทมนตร์ | 07 มี.ค. 59 |
3 | สาวน้อยเวทมนตร์ในห้องน้ำ | 14 มี.ค. 59 |
4 | สาวน้อยเวทมนตร์ผู้สิ้นหวัง | 21 มี.ค. 59 |
5 | ใบประกาศของสาวน้อยเวทมนตร์ | 28 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
เขียนอารมณ์ได้ถึงดีนะ ผลักเรื่องให้เดินต่อได้ทรงพลังดีด้วย เรื่องมีความลึกเพิ่มขึ้นมาก คิดว่าถ้ามีต่อคงต้องคิดหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสาวน้อยเวทมนตร์ เรนเจอร์ และสัตว์ประหลาดให้ลึกขึ้น แต่ก็คิดว่าคนเขียนคิดไว้อยู่แล้วละ :)
ลวิตร์