EN20 Tales นิทานหายนะ

เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นซึ่งอวัยวะบางส่วนของผู้ตายได้หายไปอย่างปริศนา คาล เจนน์ นักข่าวหนุ่มได้รับมอบหมาบให้สืบเรื่องนี้โดยไม่รู้เลยว่ามันจะชักนำเขาให้เข้าไปพัวพันกับพลังเหนือธรรมชาติและจุดจบของโลก

ผู้แต่ง

SiegX

0%

ตอนที่ 1/5 : ผีเสื้อ

                ฤดูร้อนปีนี้ร้อนกว่าทุกปี

                เด็กชายวัยสิบขวบปาดเหงื่อที่ไหลย้อยออกจากใต้คาง

                แม้จะย่างเข้าสู่เดือนกรกฎาคมแล้วอากาศยังคงร้อนระอุอย่างไม่ปราณี ประมาณเดือนก่อนเขาจำได้ว่าผู้ประกาศข่าวสาวได้ถ่ายทอดข้อความทำนองว่าได้เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีฝนตกลงมาเลยสักเม็ด ราวกับจะเยาะเย้ย ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงแรงกล้าโลมเลียผิวกายจนรู้สึกแสบไหม้ ความหวังที่อยากจะให้มีลมเย็นๆ พัดผ่านหรือเม็ดฝนโปรยปรายชุ่มฉ่ำมลายหายไปในพริบตา

                เด็กชายแบกตาข่ายดักแมลงขึ้นพาดบ่า กระชับมือให้แน่นเพื่อทำให้ดูเหมือนมีแรงฮึด เขารู้ดีว่าถึงจะทำอย่างนี้ก็ไมได้มีแรงเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่มันมีผลต่อกำลังใจ ทำให้ฮึดขึ้นมาจริงๆ อย่างบอกไม่ถูก

                ฝ่ามืออีกข้างแหวกพงหญ้าหนาทึบ พร้อมเสือกตัวเองไปข้างหน้าอย่างระแวดระวัง หากประมาทเพียงเล็กน้อยใบหญ้าที่สูงเสมอเอวและคมราวใบมีดนั้นอาจตวัดคมของมันใส่ทำให้เกิดบาดแผลได้

                แม้เด็กชายจะใจกล้าพาตัวเองมายังป่ารกชัฏ และอึมครึมเช่นนี้ เขาก็ยังคงหวาดกลัวว่าร่างกายอาจได้รับอันตรายเล็กๆ น้อยๆ อยู่ดี ครั้งหนึ่งเขาเคยวิ่งเล่นกับเพื่อนแล้วหกล้มบังเอิญจุดที่ล้มมีก้อนหินอยู่พอดี หัวเข่าของเขากระแทกเข้ากับหินก้อนนั้นเต็มแรง ความรู้สึกปวดแปลบแล่นเลี้ยวไปทั่วขาทั้งข้างยังคงประทับฝังในความทรงจำอย่างยากจะลืม หลังจากนั้นเด็กชายจึงระแวดระวังสิ่งรอบตัวเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์เกิดซ้ำรอยขึ้นมาอีก

                ทางเดินเริ่มยกตัวชันขึ้นจนก้าวขาลำบาก รับรู้ได้ถึงมวลของร่างกายที่ถูกแรงดึงดูดฉุดลากจนหนักอึ้ง เด็กชายต้องก้าวเท้ายาวขึ้นและออกแรงมากขึ้นเพื่อปีนทางเดินที่กลายเป็นเนินชันนี้ขึ้นไป

                เมื่อพ้นแนวพงหญ้าออกมาแล้ว ราวกับเป็นคนละโลก จู่ๆ พื้นที่กว้างสุดลูกหูลูกตาก็โผล่ออกมา บรรยากาศปลอดโปร่งมีลมพัดผ่านจนยากจะเชื่อว่าเมื่อครู่อากาศร้อนเพียงใด ความอึมครึมหายไปกลายเป็นความสดใสเข้ามาแทนที่ เมื่อแหงนหน้ามองจะเห็นเมฆสีขาวก้อนใหญ่รวมตัวกันสูงขึ้นไปราวกับขนมสายไหม ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามแรงลมที่พัดเอื่อยๆ   

                ถ้าหากเพื่อนๆ ของเขาได้มาที่นี่ด้วยคงดีแต่คิดอีกทีไม่ต้องให้มาดีกว่า

                วันนี้เด็กชายมาพร้อมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง พวกเขากำลังแข่งขันเกมจับแมลงกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน หากใครจับแมลงที่แปลกประหลาดและสวยงามหรือตัวใหญ่กว่าคนอื่นๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ ที่จริงแล้วเด็กชายไม่เข้าใจเลยเกณฑ์ในการหาตัวคนชนะเลย แมลงคนละประเภทย่อมเทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว ผีเสื้อย่อมสวยงามกว่าตัวด้วง ถ้าวัดกันเรื่องความสวยงามผีเสื้อคงชนะ แต่ถ้าวัดกันที่ขนาดตัวด้วงคงชนะแน่ แล้วจะตัดสินผลแพ้ชนะกันยังไง? แต่หลังจากคิดมาได้สักพัก เด็กชายจึงสลัดความคิดนั้นออกไปเพราะคงไม่มีใครสนใจ โดยรวมๆ ก็คือใครจับตัวที่คนอื่นๆ ทุกคนลงความเห็นว่า น่าสนใจหรือทำนองว่า ดีที่สุด ก็คงเป็นฝ่ายชนะไปกระมัง

                ในสถานที่เปิดโล่งแห่งนี้คงไม่สามารถหาแมลงที่แปลกประหลาดได้ แต่หากเป็นผีเสื้อที่สวยงามแล้วคงจะหาได้ไม่ยาก เด็กชายเห็นกลุ่มดอกไม้ที่ขึ้นเรียงรายกันเป็นหย่อมๆ กระจายไปทั่วบริเวณ เขาจึงสาวเท้าเข้าไปดู เป็นอย่างที่คิดไว้ มีผีเสื้อหลากสีบินฉวัดเฉวียนไปมาอย่างเริงร่า พวกมันบางตัวบินกันเป็นคู่ หยอกล้อกันเล่นราวกับกำลังพูดคุยเรื่องชีวิตประจำวันอันแสนสนุกสนาน บางตัวร่อนลงเกาะบนเกสรดอกไม้ กระพือปีกเบาๆ และเชื่องช้า เคลิบเคลิ้มไปกับความเย้ายวนของเกสรดอกไม้อันแสนงดงาม

                ในตอนนั้นเขาสังเกตเห็นผีเสื้อตัวหนึ่ง มันตัวใหญ่กว่าตัวอื่นมาก ขนาดเกือบเท่าฝ่ามือของเด็กน้อยวัยสิบขวบอย่างเขา หนวดสองเส้นบนหัวดูราวกับใบเฟิร์นใบใหญ่ ปีกของมันมีสีเทาอ่อน ขอบสีดำ ปีกคู่หน้ามีลวดลายคล้ายดวงตาดวงใหญ่ ลักษณะคล้ายผีเสื้อกลางคืนมากกว่าผีเสื้อกลางวัน ยามที่มันสยายปีกออก ราวกับมีใบหน้าของมนุษย์ตั้งอยู่บนดอกไม้สีแดงที่มันเกาะอยู่ ยามจดจ้องอยู่กับผีเสื้อตัวนั้น ลวดลายบนปีกของมันคล้ายกับกำลังมองเด็กชายอย่างพินิจพิจารณา มันหุบปีกลงอย่างช้าๆ แล้วกางออก ภาพนั้นไม่ต่างจากใบหน้าคนที่เพิ่งเจอใครบางคนแล้วทำการสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนคนนั้น

                ผีเสื้อตัวนี้ให้ความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ท่ามกลางสีสันสดใสของเนินแห่งนี้ที่ประดับประดาด้วยเล่าพฤกษานานาพันธุ์ และเหล่าแมลงตัวน้อยที่ดูเป็นมิตร ทว่าเจ้าตัวนี้กลับต่างออกไป เป็นเม็ดสีดำเพียงจุดเดียวบนภาพวาดบนผืนผ้าใบที่คนวาดเพียงแต่สะบัดแปรงผิดพลาดจนสีกระเด็นไปติด เป็นหมากสีดำในวงล้อมของหมากสีขาวบนกระดาน

ความแปลกแยกที่ราวกับถูกใครบางคนหยิบมันออกจากจากที่ไหนสักแห่งแล้ววางบนลงสถานที่แห่งนี้อย่างไม่เป็นธรรมชาติแผ่ซ่านออกมาจากผีเสื้อตัวนั้น

ทว่าในขณะเดียวกันมันกลับมีความรู้สึกดึงดูดอย่างรุนแรงต่อเด็กชาย ลวดลายคล้ายดวงตาบนปีกของมันคล้ายหลุมดำที่ไร้ก้นหลุม ยิ่งมองยิ่งคล้ายกับกำลังจมลึกลงไปในความมืดอนธการอันเคว้งคว้าง อะไรบางอย่างกำลังบีบหัวใจของเด็กชายจนหายใจไม่คล่อง สิ่งนั้นพยายามจะบี้ทำลายหัวใจของเขาให้แหลกเป็นผุยผง สติของเขาเริ่มเลือนรางเนื่องจากสมองขาดเลือด เขาต้องหนี ต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่แรงดึงดูดจากผีเสื้อมีมากกว่า อำนาจบางอย่างผลักดันให้เด็กชายก้าวไปข้างหน้า ไขว่คว้าผีเสื้อตัวนั้นให้เป็นของตนเอง แม้สมองจะสั่งการให้หนีเพื่อความอยู่รอด แต่ร่างกายกลับไม่ฟัง ความรู้สึกแน่นอกจนปวดแปลบนี้ขับเน้นความต้องการบางอย่างให้เด่นชัดขึ้น เขาเริ่มหอบหายใจถี่รัว ก้าวออกไปอย่างช้าๆ แต่ละก้าวหนักอึ้งราวกับขาถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มเหล็ก แขนเงื้อไม้จับแมลงขึ้นและหวดลงอย่างรวดเร็ว

รอบแรกพลาด ผีเสื้อตัวนั้นบินหนี มันกระพือปีกถลาไปอย่างมั่นคง บินตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่เพียงต้นเดียวกลางเนินแห่งนี้ เด็กชายไม่เคยสังเกตมาก่อนเลยว่ามีต้นไม้ต้นนั้นอยู่ ผีเสื้อบินลับไปหลังต้นไม้ คาดว่าคงเกาะอยู่ตรงไหนสักแห่ง เพราะเขาไม่เห็นมันบินออกมาจากทางไหน

เด็กชายออกวิ่ง อ้อมไปมองด้านหลังของต้นไม้ ไม่มีผีเสื้อตัวดังกล่าวอยู่แล้ว

บินหนีไปแล้ว? หรืออยู่บนต้นไม้?

เขาแหงนหน้ามองขึ้นบนกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่แผ่ขยายออกมา เพ่งสายตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วนเผื่อผีเสื้อตัวนั้นจะเกาะอยู่ตรงไหนสักแห่ง แสงแดดที่เลี้ยวลอดผ่านกิ่งไม้ลงมาทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย

อยู่ไหนผีเสื้ออยู่ไหนเขาต้องการมัน ต้องการมัน

ความคิดเช่นนี้วนเวียนไปมาในหัวของเด็กชาย เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้ต้องการผีเสื้อตัวนั้นมากขนาดนี้ รู้แค่ต้องเอามันมาให้ได้ ต้องครอบครองมันให้ได้

เขาคงต้องปีนขึ้นไปหาข้างบนเขาอยากครอบครองมันจนกระทั่งให้ทำอะไรก็ยอม

เด็กชายอ้อมไปด้านหลังของต้นไม้ ที่นั่นไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีผีเสื้อ เมื่อเหลือบตามองลงด้านล่าง เห็นกรงสีขาวขนาดเล็กวางอยู่ กรงนี้มีลักษณะคล้ายกรงนกแบบแขวน ทำจากลวดดัดให้ส่วนบนโค้งมนเป็นทรงโดมเรียบๆ หาได้จากร้านขายกรงนกทั่วไป บางจุดมีสีลอก มีคราบดินและฝุ่นขึ้นเขรอะ บ่งบอกว่าตากลมตากฝนและผ่านกาลเวลามานานแสนนาน เด็กชายหยิบกรงนั้นขึ้นมาส่องดูข้างใน แน่นอนว่าว่างเปล่า เขาคิดว่านี่อาจใช้ใส่ผีเสื้อหลังจากจับมันได้แล้วได้ จึงดึงประตูกรงขนาดเล็กให้เปิดออกเพื่อเตรียมพร้อม

ฉับพลันนั้นความรู้สึกเย็นวาบก็แล่นผ่านแผ่นหลัง เด็กชายตัวแข็งทื่อ มือที่กำลังดึงประตูกรงหยุดชะงัก อะไรบางอย่างปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเขา และมันไม่ใช่ผีเสื้อ

                อะไรบางอย่างที่ว่าเงื้อมือลูบไล้ไปตามไหล่เปลือยเปล่าของเด็กชายที่สวมเพียงเสื้อกล้ามตัวเดียว ความรู้สึกจากสัมผัสดังกล่าวคล้ายมือของผู้หญิง ภาพของมารดาที่เคยจับไหล่ของเด็กชายเวลาที่ต้องการให้กำลังใจผุดขึ้นมาในหัว มันทั้งอบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ทว่ามือข้างนี้ไร้ซึ่งความอบอุ่นและแข็งอย่างกับท่อนไม้ ขณะที่ไล้ไปตามไหล่คล้ายกับมีน้ำแข็งเย็นยะเยือกก่อตัวขึ้นจนเด็กชายขนลุก

                ไม่ใช่เพราะความเย็นแต่เพราะความกลัว

                ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในร่างกายของเขา เกาะเกี่ยวตวัดบีบรัดหัวใจจนหายใจไม่ทั่วท้องยิ่งกว่าเดิม

                อะไรบางอย่างข้างหลังกำลังเริ่มขยายตัวออก เงาของมันทอดทาบร่างกายของเด็กชายจนจมหายไปในความมืด ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สายลมพัดกรรโชกแรงจนกิ่งไม้สั่นไหว ใบไม้โบกพลิ้ว เสียดสีกันจนเกิดเสียงเล็กแหลม ทั้งที่เมื่อครู่ท้องฟ้ายังแจ่มใสและอากาศดีอยู่

เสียงฟ้าร้องดังโครมครามราวกับเสียงร้องโหวกเหวกของผู้คนที่กำลังหวาดกลัวและหลบหนีจากอะไรบางอย่างอย่างเอาเป็นเอาตาย เด็กชายคล้ายกับว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้องของมนุษย์ดังแทรกมาจากก้อนเมฆบนฟ้า เสียงนั้นเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส จนเขานึกไปถึงหนังสยองขวัญที่เคยดูในโทรทัศน์เมื่อไม่กี่วันก่อน

ในหนังนั้นชายคนหนึ่งถูกมัดติดกับเก้าอี้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ คนที่ทำคือชายร่างใหญ่สวมหน้ากาก ชายคนที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ร้องก่นด่าและพยายามขอชีวิต แต่ชายสวมหน้ากากไม่สนใจ สตาร์ทเครื่องยนต์เลื่อยไฟฟ้าในมืออย่างไม่แยแสและค่อยๆ ทาบเลื่อยไฟฟ้าที่มีฟันแหลมคมลงบนไหล่ของชายผู้เป็นเหยื่ออย่างไม่ปราณี เสียงกรีดร้องดังระงม เลือดสาดกระเซ็นพุ่งขึ้นไปในอากาศราวกับน้ำพุร้อน เด็กชายดูฉากนั้นพลางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ คิดว่าไม่น่าเปิดมาเจอเลย ไม่นานเสียงร้องของชายในโทรทัศน์ก็เงียบลง เขารีบเปลี่ยนช่องไปดูรายการเพลงอะไรสักอย่างทันที

                แต่เสียงที่เขาได้ยินตอนนี้ไม่เงียบลงเหมือนเสียงของชายในโทรทัศน์ เสียงนั้นดังแทรกสลับกับเสียงฟ้าร้องโครมคราม ยามที่ฟ้าเงียบเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น ยามที่ฟ้าส่งเสียงกึกก้องเสียงกรีดร้องถูกกลบหายไป

                อะไรบางอย่างกำลังหนีตายพลางส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา หนีตายจากสิ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น หนีจากสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ในโลกนี้ เด็กชายภาวนาของให้เสียงที่ได้ยินเป็นเพียงเสียงของใบไม้ที่เสียดสีกัน

เสียงนั้นเริ่มห่างไกลออกไป ห่างออกไป จนเงียบลงในที่สุด กระทั่งสายลมเองยังพัดผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกิ่งไม้หยุดสั่น ใบไม้หยุดไหว แม้แต่ผีเสื้อและเหล่าแมลงน้อยใหญ่บนเนินแห่งนี้ก็พลันอันตรธานหายไป ดอกไม้แสนงดงามห่อเกี่ยวหดตัวลงหลบหลังพงหญ้า สีสันสดใสเมื่อครู่ถูกของเสียบางอย่างสาดใส่จนมลายหายไปราวกับการคงอยู่ของมันก่อนหน้าเป็นเรื่องโกหก ทุกอย่างจากไปทิ้งไว้แต่บรรยากาศที่หยุดนิ่ง ทุกสิ่งได้หนีหายไปหมดแล้ว ทิ้งไว้แต่ความรู้สึกว่าเด็กชายตัวคนเดียวบนโลก

หรือว่าเหล่าธรรมชาติจะรู้สึกได้จะสัมผัสได้ถึง บางสิ่ง

                บางสิ่ง ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นหลังซ่อนตัวอยู่นาน รอคอยโอกาสที่เหมาะสมกับตัวเองเพื่อปรากฏตัว

                บางสิ่ง ซึ่งอยู่ด้านหลังของเด็กชายนี่เอง

                การขยายตัวของมันหยุดนิ่งและคงที่แล้ว มือที่ลูบไล้บนไหล่ของเขาก็หยุดเช่นกัน ทุกสิ่งดูเหมือนจะหยุดนิ่งแม้กระทั่งเวลา เด็กชายไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ความทรงจำตอนที่หกล้มกลับมาอีกครั้ง หากขยับตัวผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็อาจเกิดบาดแผลได้แต่ครั้งนี้มันจะไม่ใช่แผลเล็กน้อยแน่ เขารู้สึกอย่างนั้น

                เวลาเริ่มกลับมาเดินอีกครั้งเมื่อเขารู้สึกถึงแรงบีบที่ไหล่ พร้อมกับสิ่งนั้นที่เริ่มสยายออกขณะที่มันเคลื่อนไหวส่งเสียงกึกๆ เหมือนเฟืองในเครื่องจักรเก่าๆ ที่ไมได้หยอดน้ำมัน รูปร่างที่มันสยายออกมานั้นคล้ายกับปีกปีกของผีเสื้อกลางคืน

                เด็กชายก้มหน้าลงมองพื้น ณ ที่แห่งนั้นที่ควรจะมีเขาอยู่คนเดียว กลับมีเงาของใครอีกคนพาดทับลงมาซ้อนเงาของเขา ยิ่งฟ้าแลบฟ้าผ่าสว่างมากเท่าไร เงานั้นยิ่งเด่นชัดขึ้น รูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มีปีกผีเสื้ออันใหญ่ สิ่งนั้นผ่อนแรงลงและผละมือออกจากไหล่ของเด็กชาย เสียงแผ่วเบาเบียดผ่านออกมาจากอากาศ เสียงนั้นขาดห้วง ฟังไม่ชัดเหมือนมีคลื่นรบกวนเวลาคุยโทรศัพท์ เสียงขาดๆ หายๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ เด็กชายพยายามเงี่ยหูฟัง

                คำพูดที่เปล่งออกมาเริ่มชัดเจนขึ้นจนจับได้ศัพท์ชัดเจน ทว่าฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเหนือจินตนาการ สิ่งนั้นยื่นข้อเสนอให้บางอย่าง บางอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้จริง

                “เอาจริงหรือทำได้จริงหรือ? เด็กชายตอบกลับ เสียงสั่นไม่แพ้กัน

                คำตอบจากสิ่งนั้นที่อยู่ด้านหลัง แผ่ซ่านออกมาพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล แรงนั้นดันร่างกายของเด็กชายให้ถอยห่างออกหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว พร้อมๆ กับเสียงจากจิตใต้สำนึกที่ร้องบอกเขาว่าอย่าไปยุ่งกับสิ่งนี้โดยเด็ดขาด นี่คือสิ่งที่ไม่รู้ที่มา ไม่ควรข้องแวะด้วย ทว่าข้อเสนอช่างดึงดูดใจเหลือเกิน เขายันเท้าไว้กับพื้นเพื่อไม่ให้ตัวเองออกวิ่งหนีทั้งที่ขายังสั่น เด็กชายพยายามหันกลับไปด้านหลังเพื่อพยายามมองสิ่งนั้น

                ถ้าหันหน้าไปทางนั้นจะไม่มีวันหันกลับได้อีก ความรู้สึกบอกเช่นนั้น

                กระนั้นความอยากรู้อยากเห็นก็ยังมีพลังอำนาจเหนือกว่า เด็กชายหันหลังไป ได้เห็นและเผชิญกลับสิ่งนั้นเต็มตา

เขาหายใจถี่รัว ดวงตาเบิกโพลง หัวใจเต้นเร็วจนหน้าอกกระเพื่อม ราวกับมันพยายามจะแหวกอกเขาออกมาเสียให้ได้

สิ่งนี้เอง

สิ่งที่เขาเห็นเกินกว่าที่จิตนาการไปมาก ความตื่นเต้นผสมปนเปคละเคล้ากับความหวาดกลัวจนแยกไม่ออก เด็กชายคิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ชาย ควรท้าทายต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่หันหลังหนี หากทำอย่างนั้นแล้วเพื่อนๆ รู้เข้า คงถูกหัวเราะเยาะเป็นแน่ เขาพยายามแสดงความมุ่งมั่นผ่านดวงตา ให้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เห็น ว่าข้อเสนอของมันน่าสนใจและเขาไม่ได้กริ่งเกรงต่อแรงกดดันที่มันปล่อยออกมาแม้แต่นิดเดียว ฉะนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลงในสิ่งที่ได้รับฟัง โดยไม่ได้คิดเลยว่า คำพูดที่เขาได้โต้ตอบไปในวันนี้ จะส่งผลอย่างไรต่ออนาคต   

               

                คาล เจนน์ตื่นเพราะเสียงจากโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงเพลงเป็นเสียงเลียนแบบธรรมชาติ มีเสียงน้ำตกไหล เสียงนกร้องจิ๊บๆ เคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ เขาควานหาโทรศัพท์บนหัวเตียง ขณะที่ยังคงซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม เมื่อคว้าโทรศัพท์ไว้ได้ จึงดึงมันหายลับเข้าไปในผ้าห่มทันที ชายหนุ่มเลื่อนปุ่มเพื่อรับสาย

                ฮัลโหล…”

                อรุณสวัสดิ์คาล มีงานให้ทำ แต่ถ้ายังตื่นไม่ไหวก็จะโยนให้คนอื่นแทน

                เสียงจากปลายเป็นเสียงค่อนข้างทุ้ม ฟังดูเข้มงวด เดาไม่ยากว่าเป็นชายที่มีอายุพอสมควร และเมื่อพูดถึงเรื่องงาน จะเป็นใครไปไม่ได้หรอกจากจอห์น เฮ็กซ์ หัวหน้างานของเขา

                “ครับ! ลุกแล้วครับ พร้อมทำงานเสมอ ว่ามาได้เลย คาลเด้งขึ้นจากเตียง รีบเปลี่ยนเสียงให้ฟังดูกระตือรือร้นทันที

                “เกิดคดีแล้ว สายข่าวเพิ่งโทรฯ มาบอกเมื่อกี้ ให้แกรีบไปด่วนเลย ฉันโทรฯ บอกวาลีแล้ว เธอจะรีบตามแกไปที่นั่นทันทีหลังจากเตรียมตัวเสร็จ

                “ที่ไหนครับ คาลถาม มือคว้าสมุดโน้ตกับปากกาที่วางอยู่หัวเตียง ตั้งท่าเตรียมจดทันที

                “เขต 3 เป็นหอพักหญิงล้วน ที่อยู่ตามนี้…” จอห์นบอกที่อยู่อย่างละเอียดให้กับคาล แกอยู่ใกล้สุด รีบไปเลย อย่าให้เจ้าอื่นคาบไปได้เร็วกว่าเราล่ะ

                รับทราบครับ จะรีบไปทันที

                หลังจากวางสายคาลมองดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้เป็นเวลา 5 นาฬิกา 37 นาที ถือว่าค่อนข้างเช้าพอสมควร เขาผุดลุกขึ้นจากเตียงไปที่ห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำที่อ่างเพื่อตวงน้ำมาล้างหน้าให้พอตื่น จากนั้นจึงเดินไปหยิบกางเกงขายาวและถุงเท้ามาสวม เปลี่ยนจากเสื้อยืดใส่นอนเป็นเสื้อสำหรับใส่ไปข้างนอกที่ดูดีกว่า จากนั้นจึงหยิบเสื้อแจ็คเก็ตมาสวมทับอีกที หยิบของใช้ที่จำเป็นและอุปกรณ์ในการทำงาน เมื่อสำรวจตัวเองเรียบร้อยแล้วว่าไม่ได้ลืมอะไร เขาจึงเดินออกจากห้อง ปิดประตูห้อง ล็อคด้วยกุญแจ จากนั้นจึงตรงดิ่งไปที่ลิฟท์เพื่อลงไปยังลานจอดรถทันที

                คาลอาศัยอยู่ในแมนชั่นแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เมื่อพูดว่าใจกลางเมืองมันอาจจะฟังดูดี คิดได้ว่าแมนชั่นแห่งนี้คงทั้งสวย หรูและราคาแพง เรื่องราคาแพงนั้นถือได้ว่าถูกต้อง แต่คำว่าสวยหรูนี่ตัดออกไปได้เลย แมนชั่นของคาลทั้งเก่าและทรุดโทรม คาดว่าคงจะสร้างมานานพอสมควร สมัยก่อนอาจจะหรูจริง เนื่องจากยังคงทิ้งเค้าลางว่าเคยสวยหรูเอาไว้อยู่บ้าง แต่ก็เก่าลงไปตามกาลเวลา ทว่าเมื่อเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มค่าทีเดียว ราคาเช่าของที่นี่นั้นถูกแสนถูก เพียงแค่ประมาณ 20% ของเงินเดือน ตัวห้องกว้างขวางพออยู่ได้สักสองคน มีห้องน้ำในตัวและมีเครื่องทำน้ำอุ่น ใต้แมนชั่นมีลานจอดรถ จุดสำคัญเลยคือตั้งอยู่ใจกลางเมืองจริงๆ นับว่าเป็นของหายากที่มีค่ามากสำหรับแมนชั่นที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองในปัจจุบันแล้วยังราคาเช่าถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอาชีพนักข่าวอย่างเขา ที่เมื่อมีงานเข้ามาต้องรีบออกไปได้ทันทีทุกเวลา

                เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกยังชั้นหนึ่งของแมนชั่น คาลเดินออกจากประตู ก้าวพรวดๆ ผ่านด้านหลังเคาท์เตอร์ของแมนชั่น ลงบันไดไปยังลานจอดรถ รถของคาลจอดเป็นคันที่สามเมื่อก้าวพ้นบันไดออกมา เป็นรถยนต์รุ่นเก่าที่ได้เป็นมรดกตกทอดมาจากพ่อ แม้จะมีอายุการใช้งานมากแล้วแต่ก็ยังทำงานได้ดีไม่แพ้รุ่นใหม่ๆ คาลเรียกมันเล่นๆ ว่า ปู่ ตามสภาพของมันที่น่าจะเป็นรุ่นปู่แล้ว

                หลังจากขึ้นรถเสร็จแล้วเขาจึงสตาร์ทเครื่อง ขับออกจากชั้นใต้ถุนของแมนชั่น สถานที่เกิดเหตุที่คาลต้องไปคือหอพักหญิงแถวเขต 3 ห่างจากที่พักของคาลไปประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่หากเป็นช่วงเวลานี้บวกกับฝีเท้าการขับรถของเขา คงไปถึงได้ในครึ่งชั่วโมง

                ชายหนุ่มอ้าปากหาวหวอด ความง่วงยังคงหลงเหลือแม้จะล้างหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วก็ตามที ไม่ว่าใครหากถูกปลุกกลางคันในเวลาเช้าตรู่เช่นนี้คงยังต้องง่วงกันอยู่เป็นธรรมดา ใจของเขายังอยู่บนเตียง ปรารถนาจะซุกตัวใต้ผ้าห่ม แม้จะเป็นใจกลางเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องเยอะกว่าต้นไม้ แต่ในช่วงเวลานี้อากาศยังคงเย็นอยู่ เนื่องจากหน้าฝนเพิ่งผ่านไปหมาดๆ หน้าหนาวจึงใกล้เข้ามาแล้ว การซุกตัวใต้ผ้าห่มในเวลาตีห้าครึ่งจึงนับเป็นเรื่องที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้ แม้จะมีงานที่ทำให้ได้เงินเข้ามาก็ตาม เมื่อมีงานมาต้องเลือกงานไว้ก่อนความสบายส่วนตัว เพราะอาชีพนักข่าวอย่างเขาได้เงินน้อย การจะได้มาแต่ละข่าวนั้นยากเย็นแสนเข็ญ คาลนับว่ายังโชคดีที่มีคุณจอห์นซึ่งเป็นหัวหน้าและผู้มีพระคุณคอยช่วยเหลือเกื้อกูล ส่งงานให้เป็นประจำ ไม่อย่างนั้นนักข่าวหน้าใหม่ไร้ชื่ออย่างเขาคงไม่มีทางกินอยู่ในเมืองหลวงได้

                งานข่าวที่คาลได้รับมักเป็นข่าวอาชญากรรม เนื่องจากตอนที่เริ่มต้นมาทำงานเป็นนักข่าว คาลเคยเขียนบทความวิเคราะห์คดีหนึ่งและได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จอห์นเห็นแววจากสำนวนการเขียนของคาล จึงชักชวนให้มาทำงานด้วยกัน โดยจอห์นคอยจัดการทุกๆ อย่างให้คาลทั้งหมด รวมถึงจัดการให้นักข่าวคนอื่นๆ ด้วย ไม่เคยมีใครได้ติดต่อกับสายข่าวเลยแม้แต่คนเดียว ทุกๆ อย่างผ่านจอห์นทั้งหมด เรียกได้ว่าจอห์นทำหน้าที่เป็นทั้งคนกลาง นักข่าวและบรรณาธิการไปพร้อมๆ กัน จอห์นเป็นคนเข้มงวด ทั้งน้ำเสียงและคำพูดฟังดูดุดันเสมอ จึงเป็นที่เคารพยำเกรงของใครต่อใคร แต่แท้จริงแล้วเป็นคนใจดี เอื้อเฟื้อและมีเมตตากับลูกน้อง มีความรับผิดชอบอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คาลจึงรู้สึกสบายใจเมื่อได้ทำงานกับจอห์น แม้จะถูกจอห์นปลุกแต่เช้าหรือถูกปลุกกลางดึก เขาจึงไม่เคยปฏิเสธงานจากจอห์นเลย    

                พูดถึงแล้วเมื่อครู่ต้องขอบคุณจอห์นด้วยซ้ำที่โทรฯ มาปลุก หากไม่มีเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่นจากห้วงแห่งฝันร้าย คาลคงรู้สึกแย่กว่านี้ ชายหนุ่มหวนนึกถึงความฝันเมื่อคืน ภาพค่อยๆ ซึมกลับเข้ามาในหัวเหมือนหยดน้ำที่หยดลงบนกระดาษ แผ่ขยายออกทีละน้อย ทว่าหยดน้ำนั้นเป็นสีดำ ใจกลางสีดำมีรูปวงกลมสีขาวสองมิติแบนๆ ปรากฏอยู่ วงกลมสองวงนั้นเคลื่อนไหวไปมาอย่างระส่ำระส่าย คล้ายกำลังรีบร้อน เดี๋ยวก็ไปทางซ้าย เดี๋ยวก็ไปทางขวา วูบหล่นต่ำลงแล้วผุดพุ่งขึ้นมาตำแหน่งเดิม บางครั้งวงกลมสีขาวสองวงนั้นก็ถูกเงาสีดำพาดผ่านไปมา ลักษณะของเงาเป็นแท่งยาว ไหววูบไปมาอย่างรวดเร็วจนทำให้ภาพวงกลมมัวไม่เด่นชัด ในความฝันคาลรู้สึกว่าเขาตัวเล็ก นั่งมองวงกลมจากที่ห่างไกล รอบตัวถูกห่อหุ้มด้วยผนังที่มองไม่เห็น จนไม่อาจขยับตัวได้ เขาพยายามเบียดตัวโผล่หัวชะเง้อขึ้นไปมองวงกลมทั้งสองวง แต่ถูกอะไรบางอย่างออกแรงกดหัวให้กลับลงมานั่งเช่นเดิม มวลอากาศรอบตัวเริ่มหนาแน่นขึ้นจนหายใจไม่ออก เหงื่อเริ่มไหลจากความร้อนระอุที่แผ่ขยาย บรรยากาศของความหวาดกลัวปกคลุมอยู่รอบตัวคาล เสียงผู้หญิงร้องไห้ดังมาจากทางไหนสักทางของความมืด เริ่มมีเสียงพูดคุยดังขึ้น เสียงร้องขอชีวิตทุกอย่างเริ่มชุลมุนทั้งที่รอบตัวไม่มีใครอยู่เลย จากนั้นเกิดเสียงระเบิดดังลั่น สีแดงสาดกระเซ็นไปทั่ว ย้อมสีดำให้เปลี่ยนเป็นสีแดงในทันตา ร่างของคาลล้มลงในท่านั่ง เขาพยายามขยับตัวแต่ทำไม่ได้ รู้สึกอึดอัดจนแทบจะขาดใจ ใครก็ได้ช่วยด้วยแล้วตอนนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี

                คาลฝันแบบนี้บ่อยครั้ง นับว่าเป็นฝันร้ายเพราะตอนต่อหลังจากนั้นเขาหวาดกลัวสุดขีด ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ขยับตัวไม่ได้และกลัวมากๆ บางครั้งจะสะดุ้งตื่นเพราะเหมือนหายใจไม่ออก ต้องสูดอากาศเข้าไปมากๆ สาเหตุหนึ่งที่เขาตั้งเสียงโทรศัพท์รวมทั้งเสียงนาฬิกาปลุกให้เป็นเสียงธรรมชาติ นอกจากจะเพราะเขาเป็นคนตื่นง่ายแล้ว ยังเป็นเพราะคาลอยากได้ยินเสียงที่ทำให้ผ่อนคลายเหมือนเสียงแวดล้อมที่บ้านเกิดตอนตื่นจากฝันร้ายอีกด้วย

                เสียงโทรศัพท์ดังกล่าวดังขึ้นอีกครั้ง ดึงคาลให้ออกจากภาพความฝัน คราวนี้เป็นสายจากวาลี แม็กซ์เวล หญิงสาวผู้มีชะตากรรมต้องตื่นเช้าแบบเดียวกับเขา

                “ฮัลโหล คาลเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เพื่อรับสายและกดเปิดลำโพงแทนการถือแนบหู เนื่องจากเขากำลังขับรถอยู่

                นายถึงไหนแล้ว ฉันกำลังจะถึงอีกประมาณห้านาที เสียงห้าวดังมาจากปลายสาย

                เลี้ยวซอยข้างหน้านี่ก็ถึงแล้ว

                โอเค วาลีตอบรับแล้วตัดสายไปในทันที

                เหมือนเช่นเคยเมื่อคุยธุระเสร็จก็ปลีกตัวไปทันทีโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดล่ำลาเลย

                คาลหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าซอยทางขวามือ ตรงไปอีกประมาณ 500 เมตร เห็นรถตำรวจและรถกู้ภัยจอดชิดริมกำแพง เขาจึงตบไฟเลี้ยวซ้ายจอดต่อท้ายรถตำรวจ คาลก้าวลงจากรถพร้อมห้อยบัตรประจำตัวนักข่าว แหงนหน้ามองอาคารสีเหลืองอ่อนตรงหน้า ตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจตะวันตก ดูเรียบๆ แต่สวยงาม และดูท่าค่าเช่าน่าจะแพง คาลหยุดจินตนาการถึงค่าเช่าไว้เพียงเท่านี้ เนื่องจากไม่อยากเปรียบเทียบกับที่พักเก่าทรุดโทรมของตัวเอง เขามองตัวอาคารอย่างพินิจพิเคราะห์ ตรวจสอบที่อยู่และชื่อถูกต้อง ตัวอาคารชื่อ วินเทจแมนชั่นสมกับรูปร่างหน้าตาของมัน ทว่าภายในรูปร่างที่สวยงามนี้ กลับเกิดคดีขึ้น แม้จอห์นจะไม่ได้บอกว่าเป็นคดีอะไร แต่จากกลิ่นและบรรยากาศที่ลอยออกมาจากตัวอาคารแล้ว ชายหนุ่มคาดว่าน่าจะเป็นคดีที่มีคนตายไม่ผิดแน่ ไม่ฆาตกรรมก็อัตวินิบาตกรรม อันใดอันหนึ่ง แม้เขาจะยังเป็นนักข่าวอาชญากรรมที่มีประสบการณ์ไม่มาก แต่เรื่องแค่นี้ก็สามารถรับรู้ได้ บรรยากาศกดดันและความหนักอึ้งที่แผ่ออกมาจากภายในนั้นไม่ธรรมดา หากใครไวต่อความรู้สึกสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ก็รู้ได้ ถึงความไม่เป็นมิตรจากอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนตัวอยู่ภายในอาคารแห่งนี้

                ผ่านไปอีกไม่กี่นาที รถรุ่นใหม่คันสวยของวาลีก็มาถึง หลังจากจอดรถต่อท้ายรถของคาลแล้ว วาลีจึงลงจากรถพร้อมกล้องถ่ายรูปคู่ใจของเธอ วาลีเป็นช่างภาพให้สำนักข่าวของจอห์น ซึ่งมักได้ทำข่าวคู่กันกับคาลเสมอ จะเรียกว่าเป็นคู่หูคงไม่ผิดนัก เธอเป็นคนง่ายๆ ลุยๆ ไม่พูดมาก สู้งาน แต่งตัวกระชับทะมัดทะแมง ครั้งนี้มาในชุดกางเกงยีนส์เข้ารูป รองเท้าผ้าใบสีขาว เสื้อยืดสีเทาทับด้วยเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีกรมท่า มัดรวมผมยาวเป็นทรงหางม้า วาลีเป็นคนรูปร่างดี หน้าอกโต เอวคอด สะโพกผาย ไม่ผอมจนเกินไป ไม่อ้วนจนเกินไป มีน้ำมีนวล แม้ไม่ใช่คนสวยมาก แต่มีเสน่ห์ในแบบผู้หญิงทำงานขาลุย

                วันนี้ก็หุ่นเป๊ะเหมือนเดิม คาลผิวปาก แซววาลีเหมือนที่ทำอยู่ประจำ

                หุบปาก เธอกระแทกเสียงแล้วเดินผ่านคาลเข้าไปในตัวอาคาร

                หอพักหญิงล้วน วินเทจแมนชั่นแห่งนี้ เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปแล้วจะเป็นลานจอดรถยนต์และลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ ซึ่งไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว ประตูหน้าของอาคารเป็นประตูกระจก ผลักเข้าไปด้านในจะเป็นล็อบบี้ มีโซฟา โต๊ะและเก้าอี้ไว้สำหรับแขก ภายในเองก็ตกแต่งแบบวินเทจตะวันตก แต่คาลรู้สึกว่ามันคล้ายกับบ้านตุ๊กตาบาร์บี้มากกว่า

                ด้านในสุดของล็อบบี้มีเคาท์เตอร์อยู่ พนักงานที่เฝ้านั่งหน้าซีดอยู่ด้านหลังโต๊ะ เมื่อคาลกับวาลีเดินไปถึงและแสดงบัตรพร้อมแนะนำตัว เธอรีบกุลีกุจอลุกไปเปิดประตูทางขึ้นไปยังห้องพัก ซึ่งต้องใช้บัตรรูดเพื่อปลดล็อคให้ทันที ขณะที่วาลีกับคาลเดินผ่าน สายตาของพนักงานมองตามอย่างวิงวอน ราวกับกำลังจะบอกว่าได้โปรดอย่าเผยแพร่ชื่อของแมนชั่นนี้ออกไปเลยคาลจึงพอเดาได้ว่าเธออาจจะเป็นเจ้าของก็เป็นได้

                แมนชั่นแห่งนี้มีเพียงสามชั้นและสถานที่เกิดเหตุที่คาลได้รับแจ้งมาอยู่ชั้นสาม แมนชั่นแห่งนี้ไม่มีลิฟท์ เนื่องจากมีแค่สามชั้น คาลกับวาลีจึงต้องเดินบันไดขึ้นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

                เมื่อเดินขึ้นมาถึงชั้นสาม แทบไม่ต้องเดาว่าเป็นห้องไหนที่เกิดเหตุ เนื่องจากหน้าห้องมีคนยืนรุมมองอยู่เต็มไปหมด ทว่าคนทั้งหมดได้แต่เพียงยืนซุบซิบคุยกันอยู่แค่ที่หน้าห้อง บางคนพยายามจะชะเง้อเข้าไปมองข้างในห้องแต่ถูกประตูพับปิดใส่ คาลเห็นคนหนึ่งในกลุ่มคนนั้นยืนพิงฝาผนังอยู่หน้าห้อง กำลังใช้แขนเสื้อซับเหงื่อบนใบหน้า แต่งกายด้วยชุดเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวสีกรมท่า มีแถบสะท้อนแสง คงเป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัย คาลจึงเดินเข้าไปทักทายพร้อมแสดงบัตรประจำตัวนักข่าว

                อ้อ พวกคุณมาถึงแล้วเหรอ เร็วดีจัง ผมเพิ่งโทรฯ หาคุณจอห์นเมื่อสักชั่วโมงก่อนหน้านี้เองเจ้าหน้าที่กู้ภัยกล่าว เขาเป็นชายรูปร่างค่อนข้างท้วมและค่อนข้างเตี้ย ตัดผมสั้นเกรียน แก้มอวบอูม เหงื่อไหลบนใบหน้าเหมือนน้ำท่วม ดูเหมือนนักกินมากกว่านักกู้ภัย ฟังจากที่เขาพูดแล้ว คงเป็นแหล่งข่าวของจอห์น

                พวกเราเข้าไปได้เลยรึเปล่า? คาลถามโดยไม่รอช้า เนื่องจากต้องแข่งกับเวลาเพื่อทำข่าวให้ได้เร็วที่สุด

                เชิญครับ ผมบอกตำรวจไว้แล้ว แต่ข้างในลำบากนิดหน่อยนะครับ

                 ทีแรกคาลไม่เข้าใจความหมาย เข้าใจว่าคำว่าลำบากของเจ้าหน้าที่กู้ภัยหมายถึงสภาพที่เกิดเหตุคงไม่ค่อยน่าดูนัก คาลรู้ได้แต่แรกอยู่แล้วว่าคงมีคนตายและศพคนตายมักไม่น่าดูเสมอ แม้เขาจะเพิ่งมาทำงานเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมได้ไม่นาน แต่เรื่องประสบการณ์ก็นับว่าพอมี เขาผ่านมามากมายหลายศพจนเรียกได้ว่าชินแล้ว คำพูดของเจ้าหน้าที่กู้ภัยออกจะเป็นเชิงดูถูกเล็กน้อยสำหรับคาล แต่เขาไม่ได้ติดใจอะไร เพราะคิดว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวคงไม่ได้มีเจตนา แค่พูดไปตามมารยาท แต่ทันทีที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเปิดประตูให้ คาลถึงได้เข้าใจที่มาของคำว่า ลำบาก ที่ว่า

                ภายในห้องแลดูเหมือนกับเขตป่าร้อนชื้นที่ไหนสักแห่ง บนพื้นเต็มไปด้วยต้นไม้และหญ้าสูงจรดเอว กิ่งก้านของต้นไม้ที่งอกออกมาจากไหนก็ไม่ทราบพาดผ่านเพดานห้องจากฟากหนึ่งไปสู่ฟากหนึ่ง คดเคี้ยวเกี่ยวพันกันอย่างไม่มีระเบียบ เถาวัลย์เส้นหนาห้อยหย่อนลงมาจากฝ้าเพดานสลับกับรากไม้ขนาดเล็ก ราวกับมีต้นไม้ต้นใหญ่เจริญเติบโตอยู่ในห้อง พร้อมพาเอาป่าขนาดย่อมเข้ามาด้วย เหล่าแมกไม้ที่เจริญงอกงามเป็นสีเขียวชอุ่ม บดบังทัศนวิสัยจนแสงส่องเข้าไปไม่ถึงและไม่สามารถมองเห็นอะไรข้างในได้เลย

                บ้าอะไรนี่…” วาลีเผลออุทาน กลอกตามองไปทั่วอย่างประหลาดใจระคนตกใจ แต่ไม่ลืมที่จะยกกล้องขึ้นถ่ายรูป

                เจ้าหน้าที่กู้ภัยยื่นไฟฉายให้คาลกระบอกหนึ่งเพื่อส่องนำทางเดินเข้าไปด้านใน เขาแหวกพงหญ้าและต้นไม้ เสือกร่างของตัวเองเข้าไปอย่างยากลำบาก ความรู้สึกกลัวว่าจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอโผล่ขึ้นมากัดแล่นเข้าสู่ร่างของคาลอย่างไม่รู้ตัว ทั้งที่ที่นี่ไม่ใช่ป่าจริงๆ

                คาลเหลียวมองซ้ายทีขวาที ดูจากสภาพแล้วตรงนี้น่าจะเคยเป็นชั้นวางลองเท้า ทางซ้ายมือเป็นประตูห้องน้ำ เนื่องจากมันแง้มไว้เล็กน้อย คาลจึงมองเห็นอ่างอาบน้ำด้านใน แต่ปัจจุบันถูกต้นไม้ที่กิ่งก้านสาขาแผ่นออกหยั่งรากลึกลงไปเสียแล้ว เดินตรงเข้าไปเป็นห้องกินข้าว มีโต๊ะวางตั้งอยู่ตรงกลาง มีเก้าอี้อยู่สี่ตัว ถัดจากโต๊ะไปด้านซ้ายมือเป็นห้องครัวเล็กๆ แต่จานชามแก้วน้ำที่วางอยู่นั้นมีแต่ฝุ่นเกาะบ้างก็แตกร้าว แลดูเหมือนไม่ได้ใช้งานมานานและไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้อีก ทางขวามือเป็นซุ้มประตูโค้งที่เมื่อเดินผ่านเข้าไปแล้วเหมือนจะเป็นห้องนอน ในห้องนี้มีคนยืนอยู่สามสี่คน คาดว่าเป็นตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่มาถึงก่อนแล้ว คาลมองข้ามไหล่พวกเขาเข้าไป มองเห็นว่ามีแค่เตียงเท่านั้นที่ไม่ถูกต้นไม้ใดๆ รุกล้ำ

                บนเตียงมีร่างของหญิงสาวนอนแผ่อยู่ เธอสวมชุดนอนกระโปรงสีชมพู ใบหน้านิ่งสงบ ไม่มีสีเลือด ดวงตาปิดสนิท ผมยาวสยายออก ขาเหยียดตึง ทว่าส่วนที่น่าจะมีแขนกลับไม่มีผ้าส่วนที่เป็นแขนเสื้อแบบสั้นนั้นแบนราบติดกับเตียง เลือดสีคล้ำแผ่นออกมาจากแขนเสื้อแทนที่จะเป็นแขนมนุษย์

                เลือดที่ไหลออกมาซึมลงไปบนผ้าปูเตียงสีขาว แผ่ขยายออกจนดูราวกับหญิงสาวคนดังกล่าวกำลังสยายปีก คาลเห็นรอยเลือดที่เหมือนกับปีกนี้แล้ว นึกไปถึงปีกของผีเสื้อภาพของผีเสื้อกลางคืนที่เกาะบนหน้าต่างห้องของเขาแล่นเข้ามาในหัว ปีกของมันใหญ่เกินกว่าตัวไปมากและมีสีคล้ำ ยามที่มันร่อนลงเกาะบนหน้าต่าง ปีกของมันหุบเข้าแล้วกางออก หุบเข้าแล้วกางออก ลวดลายบนปีกทำให้ดูเหมือนมันกำลังกระพริบตาไม่มีผิด

                จู่ๆ คาลก็รู้สึกขนลุก เหมือนมีใครกำลังจ้องเขาจากด้านหลัง เมื่อหันหลังไปมองก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ มีเพียงความมืดและเงาสลัวๆ ของหมู่แมกไม้เท่านั้นเอง ทว่ายิ่งคิดว่าคงไม่มีอะไร ส่วนลึกในจิตใต้สำนึกของเขาที่ไหนสักแห่งกำลังประท้วงอยู่ ประท้วงว่านี่นี่มีอีกคน นอกจากคาล วาลี ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยที่ยืนอยู่ตรงหน้า ที่นี่มีคนอื่นอยู่อีก ในมุมมืดของห้อง ใต้เงาของต้นไม้ ในความมืดสลัวที่มือไขว่คว้าไปไม่ถึง แต่กลับสัมผัสได้จากความรู้สึก มวลอากาศที่อัดแน่นเคลื่อนผ่านร่างของเขาไปราวกับใครบางคนเพิ่งเดินผ่าน คาลหันตามความรู้สึกนั้นไป สายตาจดจ้องอยู่ที่เตียงซึ่งมีร่างไร้วิญญาณนอนอยู่ 

คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดหรอกมั้งชายหนุ่มปลอบใจตัวเอง

ขณะนี้เป็นเวลา 6 นาฬิกา 20 นาที ดวงอาทิตย์ลอยตัวเหนือเส้นขอบฟ้า แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านหน้าต่างห้องนอนที่ไม่ได้ถูกหมู่แมกไม้บดบัง ฉาบไล้ใบสีเขียวให้ดุมีชีวิตชีวามากขึ้น คาลเพิ่งสังเกตเห็นว่านอกจากต้นไม้และใบไม้สีเขียวชอุ่มแล้ว ดอกไม้กำลังผลิบาน ดอกไม้ดอกใหญ่สีแดง สีเขียว สีเหลือง สีม่วง เริ่มบานขึ้นรอบเตียงที่ร่างของหญิงสาวนอนอยู่ ไล่จากปลายเท้าขึ้นไป ผ่านด้านข้างลำตัว ผ่านส่วนหัวและวนกลับมาจรดที่ปลายเท้าอีกครั้ง ทุกคนต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ดังกล่าว

ละอองฝุ่นที่ต้องกับแสงแดดลอยละล่องส่องแสงสะท้อนวิบวับอยู่ในอากาศ คล้ายเหล่าภูติพรายกำลังบินฉวัดเฉวียนหยอกล้อกันเล่น คาลได้ยินเสียงหัวเราะหัวเราะดังคิกคักดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ดังมาจากสถานที่ที่ไกลมาก เสียงนั้นสะท้อนไปมาอยู่ในหู แต่ไม่รู้ที่มา

ท่ามกลางแสงตะวันที่กำลังสาดส่อง ทำให้คาลเผลอคิดไปว่า ร่างของหญิงสาวที่นอนทอดกายอยู่ ณ สถานที่ซึ่งรายล้อมไปด้วยดอกไม้แห่งนี้ ดูราวกับภาพวาดของเทพธิดาที่กำลังนิทราอยู่ในป่าแห่งเวทมนตร์ไม่มีผิด



Tales นิทานหายนะ

ผู้แต่ง : SiegX

ตอนที่ ชื่อตอน วันที่ลง
1 ผีเสื้อ 14 ก.พ. 59
2 นิทาน 09 มี.ค. 59
3 โลกของกริมม์ 18 มี.ค. 59
4 ความหวัง 25 มี.ค. 59
5 น้องสาว 01 เม.ย. 59

Comment จากกรรมการ

#1 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

โครงเรื่องและวิธีการเล่าเรื่องมีความเป็นนวนิยายแปลตะวันตกสูงมาก แต่ก็แฝงความเป็นแฟนตาซี (สายดาร์ก) ด้วย สนุกมากครับ สำนวนภาษาเป็นผู้ใหญ่ ฝีไม้ลายมือจัดว่าโปรเลย จากบทแรกๆ ที่ออกแนวสืบสวน จนบทล่าสุดที่เป็นแฟนตาซีเต็มสูบ ชวนให้อยากรู้ตอนต่อๆ ไปเลย รออ่านอยู่นะครับ!

นี่เฮียเอง

Comment จากกรรมการ

#2 Enter Books Editor Team

ลงตัวดีนะคับ
ชอบตรง TALES series ... เป็นองค์ประกอบที่น่าสนใจดีในบทนี้
ตัวละครในบทแรกๆไม่เยอะเกินไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีกลิ่นอายของความลี้ลับ
สำนวนการเขียนลื่นไหล
ลงตัวดีครับ > <

ดาวิษ ชาญชัยวานิช

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 1 of 1 1
  • ความคิดเห็นที่ 11

    dinn
    • Name : dinn < My.iD > [IP] 171.96.183.87
    • 3 เมษายน 2559 / 21:27
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^

    โหย... เจ๋งอ่ะ ทั้งพล็อตเรื่อง ท้้งสำนวน ทั้งบทสนทนา ลงตัวพอดีทุกอย่างเลย โดยเฉพาะตอนที่เป็นแฟนตาซีแล้วเขียนดีมากๆ ชอบมากเลยครับ ทั้งฉากพายุ มังกร โลกนิยาย =[]= แต่ แต่ละตอนสั้นยาวไม่เท่ากันเลยทำให้รู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง แต่คงไม่เป็นไรมั้งครับ = =!!
  • ความคิดเห็นที่ 10

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.207.19
    • 19 มีนาคม 2559 / 22:04
    อาจเพราะความรีบเลยเห็นหลายจุดที่พลาดไป
    พลาดในที่นี้คือพิมพ์ผิดพิมพ์ตกนั่นแหละ
    อืมมม หลักๆ มีกะพริบ  แล้วก็เลือนราง 
    กับชื่อนาเดียที่เป็นนายเดีย อันนี้ฮามาก แต่เข้าใจว่ามือมันไป

    ทีนี้ว่าด้วยเรื่องคือยาวมากกกก ยาวจริงๆนะ 
    ตัดเป็น 3 ตอนแบบที่แบ่งเป็นช่วงๆได้เลย
    แต่เพราะความยาวนี้ทำให้ทุกอย่างกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
    และทำให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากไหน แต่อาจเพราะรีบหรืออะไรหลายๆอย่าง
    ในวินาทีที่สะเทือนใจมันเลยไม่ได้ถูกทิ้งท้ายในตอนจบบทเหมือนเวลาอ่านนิยายสืบสวน
    แต่ว่ามันกลับเป็นว่าเราได้พลิกบทต่อมาอ่านในทันที
    ตรงนี้เลยรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ฮาาา ทุกอย่างดำเนินมาเรื่อยๆแล้วบอสใหญ่ปรากฎตัว
    บูมมมมม ทุกอย่างจบสิ้น 555
    มีความคิดว่าเฉลยตอนหน้าก็ดีนะ ฮาาา
  • ความคิดเห็นที่ 9

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.207.19
    • 19 มีนาคม 2559 / 21:59
    อาจเพราะความรีบเลยเห็นหลายจุดที่พลาดไป
    พลาดในที่นี้คือพิมพ์ผิดพิมพ์ตกนั่นแหละ
    อืมมม หลักๆ มีกะพริบ  แล้วก็เลือนราง 
    กับชื่อนาเดียที่เป็นนายเดีย อันนี้ฮามาก แต่เข้าใจว่ามือมันไป

    ทีนี้ว่าด้วยเรื่องคือยาวมากกกก ยาวจริงๆนะ 
    ตัดเป็น 3 ตอนแบบที่แบ่งเป็นช่วงๆได้เลย
    แต่เพราะความยาวนี้ทำให้ทุกอย่างกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
    และทำให้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากไหน แต่อาจเพราะรีบหรืออะไรหลายๆอย่าง
    ในวินาทีที่สะเทือนใจมันเลยไม่ได้ถูกทิ้งท้ายในตอนจบบทเหมือนเวลาอ่านนิยายสืบสวน
    แต่ว่ามันกลับเป็นว่าเราได้พลิกบทต่อมาอ่านในทันที
    ตรงนี้เลยรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ฮาาา ทุกอย่างดำเนินมาเรื่อยๆแล้วบอสใหญ่ปรากฎตัว
    บูมมมมม ทุกอย่างจบสิ้น 555
    มีความคิดว่าเฉลยตอนหน้าก็ดีนะ ฮาาา
  • ความคิดเห็นที่ 7

    ~Siegfried~
    • Name : ~Siegfried~ < My.iD > [IP] 223.207.58.197
    • 16 มีนาคม 2559 / 00:11
    @ลูกฟูก

    จริงๆ แล้วเป็นช่องโหว่ของผมเองครับ แหะๆ :P

    ปกติเวลาจนท.ออกเหตุ ก็จะประสานกันไปหลายๆ ฝ่าย ทั้งกู้ภัยด้วย หรือร.พ.ที่จะไปส่งคนเจ็บด้วย ความช้าความเร็วในการมาถึงที่เกิดเหตุก็ขึ้นอยู่กับเวลาในการเดินทางแหละครับ ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องการออกเหตุนี้ผมไม่ค่อยชัวร์เท่าไรนัก ไม่เคยไปอยู่ในสถานการณ์นั้นซักที อาจต้องไปถามเอาจากพี่มิว แต่คิดเสียว่ามันเป็นนิยายที่อิงเอาความจริงมาส่วนหนึ่งก็แล้วกัน :P

    ส่วนช่องโหว่ของผมคือ ผมได้บรรยายไปว่าในสถานที่เกิดเหตุมีคนอยู่ก่อนแล้วประมาณ 3-4 คนรวมจนท.กู้ภัยด้วย ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วแหละ ด้วยความเบลอของผมเองส่วนหนึ่งและการปรับเปลี่ยนรายละเอียดภายในเรื่องส่วนหนึ่ง เนื่องมาจากตอนแรกผมเข้าใจผิดในจำนวนตอนที่จะส่งประกวดน่ะครับ จึงใส่ให้จนท.อีกส่วนหนึ่ง ตามมาสมทบทีหลัง คิดเสียว่าเขาไปหลงทางมา มาไม่ถูก ไม่ก็ไม่ชัวร์เส้นทางเลยขับมาช้าๆ ก็แล้วกันเนอะ ฮา 
  • ความคิดเห็นที่ 6

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.206.225
    • 15 มีนาคม 2559 / 00:40
    ชอบงานซิกนะ
    แต่ยังติดใจว่าทำไมนักข่าวถึงเข้าไปในที่เกิดเหตุได้ก่อนหน่วยพิสูจน์หลักฐาน
    คือยอมให้ทำข่าว แต่ไม่น่ายอมมากขนาดนี้
    ส่วนเรื่องอื่นๆคือดีเลย น่าติดตาม ติดใจอยู่เรื่องเดียวนี่แหละ
  • ความคิดเห็นที่ 5

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.247.251
    • 10 มีนาคม 2559 / 01:08
    ลงตัวดีนะคับ
    ชอบตรง TALES series ... เป็นองค์ประกอบที่น่าสนใจดีในบทนี้
    ตัวละครในบทแรกๆไม่เยอะเกินไป
    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีกลิ่นอายของความลี้ลับ
    สำนวนการเขียนลื่นไหล
    ลงตัวดีครับ > <

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 4

    Benderic
    • Name : Benderic < My.iD > [IP] 182.232.37.159
    • 7 มีนาคม 2559 / 10:19
    น่าสนใจดีครับ...
    นำเอาการผสมผสานระหว่างแฟนตาซีกับสืบสวนมาใช้ได้อย่างน่าติดตามครับ
  • ความคิดเห็นที่ 3

    bodin Intrararujikul
    • Name : bodin Intrararujikul [IP] 171.96.182.132
    • 5 มีนาคม 2559 / 13:11
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^ งานของซิกซ์พัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้วนะครับเนี่ย เรื่องก่อนที่ผ่านมาก็สนุก เรื่องนี้ยิ่งเข้มข้นโดยเฉพาะความสมจริงสมจังนี่สุดยอดเลย อย่างกับคนวงในของวงการนักข่าวจริงๆ เลยครับ ^ ^b (สะกดชื่อของซิกซ์เป็นภาษาไทยถูกหรือเปล่าน้อ?) เรื่องนี้สมดุลทั้งบทพูดและบทบรรยายสภาพแวดล้อม เหมาะกับแนวสืบสวนดีจริงๆ แอบระทึกตามตัวอักษรไปด้วยเลยครับ (เพราะเป็นแนวสืบสวนแบบที่ชอบ โดยส่วนตัวจึงชอบแนวนี้เป็นพิเศษรวมถึงเรื่องนี้ด้วยครับ ^ ^!!) เปิดมาด้วยผีเสื้อบวกกับคำโปรยทำให้นึกถึงบัทเตอร์ฟรายแอฟเฟ็กซ์เลยครับ ^ ^ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่าติดตามมากๆ รอติดตามนะครับผม ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 2

    ~Siegfried~
    • Name : ~Siegfried~ < My.iD > [IP] 223.206.40.132
    • 3 มีนาคม 2559 / 23:08
    ขอบคุณมากเลยครับ
    เรื่องข่าวรู้ช้ารู้เร็วนี่ขึ้นอยู่กับสายข่าวหรือหน่วยงานนั้นๆ เลยครับ :D
    บางทีข่าวพวกตามเว็บไซต์หรือตามทวิตเตอร์ก็จะมาเป็นข้อความสั้นๆ ไม่มีรายละเอียด ก็จะมาในลักษณะนี้แหละครับ สายข่าวแจ้งมาก็รีบไปทำข่าว ตำรวจไมไ่ด้ปิดข่าวฮะ นอกจากเคสที่จะสร้างความโกลาหลในสังคมจริงๆๆๆๆ หรือเคสที่มีนอกมีใน ก็จะมีการขอให้ปิดข่าวบ้าง
  • ความคิดเห็นที่ 1

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 49.48.174.153
    • 2 มีนาคม 2559 / 22:53
    อ่านแล้วรู้สึกจมลงไปเลยค่ะ บรรยายดีมากเลย
    แต่ทำไมนักข่าวได้เข้าไปทำข่าวเร็วจัง ปกติตำรวจน่าจะปิดข่าวแฮะ

    เริ่มมสไตล์นิยายสืบสวนมาก ฮาาา รอดูความแฟนตาซีต่อนะ
Page 1 of 1 1

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป