EN19 โลกอีกใบในหนึ่งหน้ากระดาษ
เขาถูกเลือกให้ช่วยเหลือโลกนี้จากวิกฤติ ?รอยขีดฆ่า? โดยใช้ฝีมือทางการวาดของเขา เพื่อแลกกับทางกลับโลกของตัวเอง แต่การช่วยเหลือก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดหวังไว้
สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้คือเขาไม่หายใจ...ตัวเขา...ไม่ได้หายใจอยู่ หน้าอกของเขาไม่มีการขยับขึ้นลง ไม่มีลมหายใจผ่านจมูก เขาไม่ได้หายใจอยู่จริงๆ เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติและนึกทบทวนว่าตัวเองเป็นใคร ทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนเมื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์กลางที่โล่งที่เขาไม่เคยเห็น
‘เราชื่อ...วิชญ์ ชื่อจริงชื่อว่ากรวิชญ์ นั่งรถเมล์กลับหอในมหาลัยแล้วดันเผลอหลับไประหว่างทาง ตื่นมาอีกทีก็...’ วิชญ์มองไปรอบๆ ป้ายรถเมล์ที่ไม่มีใคร และรถเมล์ที่เขานั่งมาก็หายไปแล้ว เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อมองไม่เห็นรถเมล์ที่ตนเองนั่งมา เมื่อครู่นี้มันยังอยู่ตรงหน้าเขาแต่ตอนนี้มันกลับอันตรธานหายไป วิชญ์ใช้เวลาครู่หนึ่งในการทบทวนข้อมูลอีกรอบ เขาพยายามสูดลมหายใจแล้วก็นึกได้ว่าตัวเขาไม่หายใจแล้ว
‘ทั้งหมดนี่อาจจะเป็นแค่ฝันร้าย เดี๋ยวเราก็จะตื่น ไปเรียนตามปกติ ’ แต่อีกเสียงในใจก็บอกว่า
‘แต่เรากำลังนั่งรถกลับหอนะ บางทีระหว่างที่เราเผลอหลับไปรถเมล์อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วเราก็ตายไม่รู้ตัวตอนนั้นก็ได้ การที่เราไม่หายใจมันก็บอกอยู่แล้วว่าเราตายไปแล้ว’ เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง
‘ตาย...นี่เรา...ตายแล้ว ? งั้นนี่ก็โลกหลังความตาย ?’ เด็กหนุ่มมองไปรอบๆอีกครั้งเพื่อหายมทูตหรือวิญญาณตนอื่นหรืออะไรก็ตามที่บอกได้ว่าเขากำลังอยู่ในนรกไม่ก็สวรรค์ แต่ก็ไม่พบอะไร...ป้ายรถเมล์ หญ้าข้างทาง ถนนที่ขาดหายไปในพื้นหลังสีขาวเหมือนกระดาษ แล้ววิชญ์ก็สะกิดใจขึ้นมา ตามปกติแล้ว...มันไม่ควรขาวเหมือนกระดาษแบบนี้ ต่อให้เป็นที่โล่งมากขนาดไหนแต่เขาก็ไม่เคยเห็นอะไรที่ว่างเปล่าเหมือนกระดาษไร้เส้นสีขาวแบบนี้
‘...นี่เราอยู่ที่ไหน!!’ ความคิดที่ว่าตัวเองตายไปแล้วหายไปจากหัวของเด็กหนุ่ม เขากลับมาพิจารณารอบตัวเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เขามองทุกอย่างให้ละเอียดมากกว่าเดิม ป้ายรถเมล์มีเสาที่เอียงไปทางขวา ตัวเสาก็ไม่ได้ตรงเหมือนกับปกติ พอดูให้ดีแล้วมันเป็นเส้นที่เกิดจากปากกาสีดำแถมยังขีดไม่ตรงด้วย สีฟ้าของป้ายรถเมล์ก็เลอะออกมาข้างนอก แต่มันไม่เหมือนปกติตรงที่สีของมันเหมือนกับรูปวาดที่ระบายสีออกนอกเส้น แถมรูปวาดรถเมล์ข้างในป้ายยังไม่ละเอียดเลยด้วย พอก้มมองหญ้าที่พื้นมันก็ดูเป็นแค่ดินสอสีขีดเป็นเส้นๆเท่านั้น ไม่ใช่หญ้าจริงๆ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเมื่อสัมผัสได้ถึงความ ‘ผิดปกติอย่างร้ายกาจ’ ของที่นี่
‘เหมือนรูปวาดเลย’
วิชญ์เริ่มรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่โลกหลังความตาย ตอนนี้เขายอมไปที่โลกหลังความตายเลยดีกว่าถ้าจะต้องอยู่ในที่ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคือที่ไหน ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนเดิน เขาดีใจมากและรีบหันหลังกลับไปทักทายทันที
“ขอโทษนะครับ พอจะรู้มั้ยว่าที่นี่...” วิชย์หยุดพูดทันทีเมื่อเห็น...ตัวประหลาดตรงหน้า มันสูงกว่าเขาราวหนึ่งช่วงศีรษะ มีขนที่หยักศกเป็นลอนคลื่นออกมาจากหัวของมันเหมือนผมของมนุษย์ยาวลงมาคลุมทั้งตัวจนไม่เห็นใบหน้าหรือลำตัว ปลายของเส้นขนเหล่านั้นลากอยู่กับพื้นถนน วิชญ์ตกใจตัวแข็งไป เขาพูดอะไรไม่ออก เจ้าตัวประหลาดขนยาวเดินเข้ามาหาเขา มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง สมองของเด็กหนุ่มสั่งให้เขาออกวิ่งแต่ร่างกายกลับไม่ทำตาม
‘วิ่ง!! วิ่งสิ!! วิ่ง!!’ เสียงตัวเขาเองดังก้องอยู่ในหัว แต่ร่างกายก็ยังไม่ยอมขยับจนมือผอมแห้งเหมือนกระดูกของตัวประหลาดโผล่ออกมาจากใต้ขนหมายจะจับตัวของเขาพร้อมกับดวงตาที่ดูแข็งทื่อที่ดูไร้ชีวิตเผยออกมาให้เห็นข้างหนึ่ง ในตอนนั้นเองร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยอมขยับ
วิชญ์เบี่ยงตัวแล้วก้มหลบในเสี้ยววินาที แล้วกลับหลังหันวิ่งหนีออกไป เด็กหนุ่มสับขาวิ่งอย่างรวดเร็ว พยายามพาตัวเองออกห่างจากตัวประหลาดให้ไกลที่สุดที่เท่าจะทำได้ เขาวิ่งไปโดยไม่สนใจรอบตัวว่ามีอะไรบ้าง เด็กหนุ่มแค่วิ่งไปตามถนนจนใกล้สุดทาง ด้านหน้าเขาเป็นพื้นที่โล่งสีขาว วิชญ์จึงตัดสินใจเลี้ยวไปทางซ้ายแล้ววิ่งต่อไป
เขาวิ่งเหมือนไม่รู้จักควมเหนื่อย เพียงแค่คิดว่าต้องกลับไปเจอตัวประหลาดที่มีดวงตาไร้ชีวิตเขาก็ออกแรงวิ่งต่อ เมื่อเห็นว่ามาได้ไกลพอสมควรวิชญ์จึงหยุด
‘คงพ้นไม่ตามมาถึงนี่หรอก...’ แล้วเขาจึงได้เอะใจว่าตัวเองไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งวิ่งมาเป็นระยะทางไกลพอสมควร ตามปกติควรจะหอบแล้วก็ขาอ่อนไปแล้ว
‘หรือเป็นเพราะที่นี่เราไม่ได้หายใจ...’ แต่เมื่อคิดอีกทีเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจว่ามันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกันกับการที่ตัวเขาไม่หายใจ แล้วเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายอีกอย่างนั่นคือหัวใจเขาไม่เต้น ตามปกติแล้วมันควรจะเต้นตุบตับอยู่ข้างใน ยิ่งหลังจากการวิ่งแบบเมื่อครู่นี้แล้วเขาควรจะสัมผัสมันได้ด้วยสิ แต่ตอนนี้มันกลับสงบนิ่งราวกับว่าไม่หัวใจของเขาไม่เคยอยู่ข้างในนั้น
‘นอกจากเราจะไม่หายใจแล้ว นี่หัวใจยังไม่เต้นด้วยเหรอ!’ วิชญ์รู้สึกปวดหัวตุบๆขึ้นมาทันที ยิ่งเขาพยายามคิดหาเหตุผลมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ สภาพของเขาตอนนี้เหมือนกับคนตายโดยสมบูรณ์แค่ยังเคลื่อนไหวได้
‘แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้เลยน่ะสิ ไม่ๆซอมบี้ไม่น่าจะคิดอะไรได้มากขนาดนี้’ สุดท้ายวิชญ์ก็เลิกคิดแล้วกลับมามองรอบตัวว่าตอนนี้เขาเข้ามาอยู่ที่ไหน รอบตัวตอนนี้มีแต่รอยขีดเต็มไปหมด มีทั้งสั้น ยาว ความกว้างก็ไม่เท่ากัน มีทั้งที่อยู่กับพื้นรวมถึงลอยบนอากาศ แต่ละรอยเองก็ดูมีสีที่ต่างกันส่วนมากจะเป็นสีดำ อาจมีสีน้ำเงินหรือแดงโผล่มาบ้างประปราย รอยเหล่านั้นดูเหมือนหิ้งที่ลอยบนอากาศ วิชญ์พิจารณาดูนั้นใกล้ๆ จนเห็นว่ารอยสีดำส่วนมากเกิดจากอะไร
‘ดินสอ ? สีน้ำเงินกับแดงนั่นก็ปากกา ?’ ว่าแล้วเขาก็ลองเอามือไปแตะรอยขีดรอยเล็กๆที่ลอยอยู่ในระดับสายตาเขารอยหนึ่งดูด้วยความสนใจและสงสัย
“โอ๊ย!” วิชญ์อุทานเสียงดังด้วยความเจ็บ นิ้วชี้ที่แตะรอยขีดเล็กๆเมื่อครู่เกิดเส้นสีดำเหมือนรอยแผลขึ้นมาพร้อมกับของเหลวสีดำที่ไหลออกมาจากตัวเขา เด็กหนุ่มตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ไหลออกมาจากมือตัวเองไม่ใช่เลือด
“อ้าก!!” คราวนี้เขาร้องลั่น นอกจากจะตกใจเรื่องที่เลือดเขาจะกลายเป็นสีดำ วิชญ์ยังเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไป ผิวเขาไม่ใช่สีเนื้อ มันกลายเป็นสีขาวเหมือนกับกระดาษ มือ แขน ขา เสื้อผ้า ทุกอย่างเท่าที่เขามองเห็นได้ด้วยตากลายเป็นลายเส้นดินสอเหมือนกับรูปวาดในกระดาษ เหมือนกับป้ายรถเมล์ที่เขาเห็น เหมือนกับรอยขีดของดินสอพวกนั้น เด็กหนุ่มสติแตกร้องลั่นอยู่คนเดียวในกลุ่มก้อนของรอยขีดสีดำโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวประหลาดที่วิ่งหนีมาได้ใกล้เข้ามาแล้ว
“ตื่นสิ! ถ้านี่เป็นความฝันก็ตื่นสักที! นี่มันอะไรกัน! เหวอ!” ระหว่างที่พยายามปลุกตัวเองให้ตื่น วิชญ์ก็เหลือบไปเห็นตัวประหลาดตัวเดิมยืนมองเขาด้วยสายตาไร้ชีวิต ถอยหนีลึกเข้าไปในกลุ่มของรอยขีดอัตโนมัติ ถึงแม้ว่ามันจะบาดและสร้างรอยขีดสีดำให้กับตัวเขาก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าเพราะตัวประหลาดขนยาวตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะก้าวตามเข้ามา แล้ววิชญ์ก็ต้องตกใจเมื่อมันตะโกนใส่เขา
“อยากตายมากหรือไง! ออกมาจากรอยขีดฆ่านั่นซะ!” เป็นครั้งแรกที่วิชญ์ได้ยินเสียงของตัวประหลาดแถมยังเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนจนน่าแปลกใจ
วิชญ์ส่ายหัวอย่างแรงเป็นคำตอบ เจ้าตัวประหลาดขนยาวเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมทั้งพยายามเดินหลบรอยขีดเพื่อเข้าไปคว้าตัววิชญ์ เด็กหนุ่มถอยหนีเข้าไปโดยระวังไม่ให้ตัวเองโดนรอยขีดสีดำไปมากกว่านี้ ตัวประหลาดนั่นถอยกลับออกไปบริเวณที่ไร้รอยขีด วิชญ์โล่งอกเพราะคิดว่าตัวเองรอดแล้ว
ทันใดนั้นเอง เชือกสีดำยาวก็พุ่งเข้ามาหาวิชญ์แล้วพันรอบตัวเขาตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไปถึงข้อเท้าจนแน่นพร้อมกับมัดตัวเองไว้เสร็จสรรพ ปลายอีกด้านของเชือกสีดำอยู่ในมือผอมแห้งของตัวประหลาดขนยาว แล้วตัวเขาก็ถูกดึงตัวลอยออกไปกระแทกพื้นบริเวณที่ตัวประหลาดยืนอยู่
“ไง” ตัวประหลาดทักทายเขาอีกครั้ง
“ปล่อยฉัน!” วิชญ์ตะโกนกลับไปทันที ในขณะที่ตัวก็พยายามจะดิ้นหนีออกจากเชือกสีดำ ตัวประหลาดกรอกตาที่ตอนนี้เห็นอยู่ข้างเดียวของมัน
“ดูจากท่าทางแกแล้ว ฉันไม่ปล่อยดีกว่า ปล่อยไปก็วิ่งเข้าไปในนั้นอีก” ว่าแล้วตัวประหลาดขนยาวก็นั่งขัดสมาธิกับพื้น ก่อนจะมองเด็กหนุ่มที่ดิ้นดุกดิกเหมือนหนอน
ตัวประหลาดทิ้งให้วิชญ์พยายามดิ้นเอาตัวรอดอยู่กับพื้นอยู่พักใหญ่ เม่อวิชญ์เห็นว่าไม่มีประโยชน์ใดๆที่จะดื้นให้หลุดจากเชือก เด็กหนุ่มหยุดทำไปเอง เขากลับมานอนนิ่งๆมองตัวประหลาดที่นั่งกับพื้น ตอนนั้นวิชญ์จึงสังเกตเห็นว่ามันมีขาผอมๆที่สวมกางเกงยีนสีซีดอยู่ และเท้าใส่รองเท้าแตะแบบคีบยี่ห้อคุ้นตาที่มีสีฟ้ากับขาว ทั้งหมดที่วิชญ์เห็นล้วนเกิดจากเส้นของดินสอสีที่ระบายไว้อย่างปราณีตจนดูเหมือนกับของจริง
“พร้อมจะฟังคนอื่นพูดหรือยัง” เด็กหนุ่มเมินคำถามของตัวประหลาดไปพร้อมกับร้องออกมาเสียงดัง
“แกเป็นรูปวาดนี่!”
“ใช่” ตัวประหลาดตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะนั่งมองวิชญ์ เด็กหนุ่มพยายามคิดคำถามที่จะถาม...ตัวอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็คิดไม่ออก จากนั้นเจ้าตัวตรงหน้าเขาก็ถามคำถามเดิมซ้ำมาอีกครั้ง
“พร้อมจะฟังคนอื่นพูดหรือยัง” วิชญ์จึงผงกหัวครั้งหนึ่ง แล้วตัวประหลาดจึงเอามือแหวกส่วนที่วิชญ์เคยคิดว่ามันเป็นขนออกเป็นสองทางแล้วเอาไปทัดหู เมื่อผมยาวเป็นลอนถูกเปิด วิชญ์ก็เห็นว่าข้างในมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผอมมาก แก้มตอบ โหนกแก้มนูนเด่นขึ้นมา ขอบตาคล้ำ ตาตกและดวงตาสีดำที่ไร้แวว ผิวสีแทนก็เกิดจากการระบายสี ในขณะที่ผมเป็นเส้นดำสอสีดำที่มีน้ำหนักของเส้นแตกต่างกัน อีกฝ่ายใส่เสื้อคอกลมที่มีหลากสีผสมกันโดยการเอาเส้นดินสอสีจำนวนมากมาวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ
‘รูปวาดจริงๆด้วย’ เด็กหนุ่มสรุปในใจระหว่างที่มนุษย์รูปวาดตรงหน้าเริ่มถามคำถามกับเขา
“แกมาจากโลกปกติใช่มั้ย” ดูเหมือนว่าสีหน้าวิชญ์จะแสดงออกได้ชัดเจนว่าไม่เข้าใจคำถาม อีกฝ่ายจึงยกตัวอย่างเพิ่มเติมขึ้นมา
“ที่ทุกอย่างไม่ใช่รูปวาดแบบนี้น่ะ” เด็กหนุ่มจึงพยักหน้า ชายหนุ่มร่างผอมขมวดคิ้วแล้วพึมพำว่า
‘อีกแล้วสินะ’ วิชญ์ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ว่าอีกแล้วที่ว่าหมายถึงอะไร
“ฉันจะปล่อยแกออกจากเชือก แล้วถ้าจะหนีอย่างน้อยก็อย่าวิ่งเข้าไปในบริเวณรอยขีดสีดำนั่น” แล้วชายหนุ่มก็ชี้มือไปยังบริเวณที่เต็มไปด้วยรอยขีดที่วิชญ์วิ่งเข้าไปตอนแรก
“ทำไม” เด็กหนุ่มถามกลับ
“รอยพวกนั้นสามารถฆ่าทั้งฉันและแกที่เป็นรูปวาดได้ โดนขีดฆ่าไปขนาดนั้นยังจะถามอีก ไม่รู้สึกเจ็บหรือไงหรือเพราะเป็นงานที่ยังไม่เสร็จถึงได้ไม่มีความรู้สึก”
‘รูปวาด? ขีดฆ่า? งานที่ไม่เสร็จ?’ เขาพยายามทำความเข้าใจเรื่องราวโดยอาศัยคำพูดอีกฝ่ายแต่วิชญ์ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจทั้งหมดได้ และดูเหมือนว่าสีหน้าของเขาจะบอกถึงความไม่เข้าใจอีกแล้ว เพราะฝ่ายชายหนุ่มก็เอามือขยี้หัวตัวเอง
“รอยพวกนั้นก็เหมือนกับมีดที่จะแทงพวกเราที่เป็นรูปวาดในระกระดาษ เพราะแบบนั้นเลยห้ามเข้าไปใกล้ แล้วตอนนี้แกก็เป็นรูปวาดถ้าโดยรอยพวกนั้นก็อาจจะตายได้” เมื่อโดนวิชญ์ทำหน้าไม่รู้เรื่องใส่อีกครั้ง ชายหนุ่มผมยาวลากพื้นจึงตัดสินใจที่จะให้คนอื่นเป็นคนอธิบายแทน
“เอาเป็นฉันจะแกมัดเชือกให้ แล้วจะพาไปหาคนที่อธิบายได้ ถ้าอยากหนีก็หนีก็แล้วกัน” แล้วเขาก็ถอยออกห่างจากเด็กหนุ่ม เพียงพริบตาเดียวเชือกสีดำก็หายไป ทิ้งไว้แต่รอยปื้นดำๆบนตัววิชญ์ในบางจุด เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นแล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา แล้วชายหนุ่มร่างผอมก็เอาผมที่ทัดหูให้กลับมาปิดทั้งตัวเหมือนเดิมก่อนจะออกเดินนำไปตามถนนที่วิชญ์วิ่งมาในทีแรก
วิชญ์ยังลังเลใจที่จะเดินตามไป จนมนุษย์ผมยาวคนนั้นหันกลับมาทัก เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะตามไป
“แล้ว...คุณมีชื่อมั้ย” วิชญ์ถามระหว่างที่เดินตามไปข้างหลัง
“ฉันชื่อศิน”
“ผมวิชญ์นะ”
“วิชนะ ? แกนี่ชื่อแปลกๆ”
“ไม่ใช่ๆ แค่วิชญ์เฉยๆ”
“ไหนตอนแรกบอกว่าวิชนะ” เด็กหนุ่มอยากเอาหัวโขกกับโต๊ะเหลือเกินเพราะความเข้าใจผิดของรูปวาดที่ชื่อศิน
“นะเป็นคำลงท้ายเฉยๆ เฉยก็เป็นคำลงท้ายด้วย ชื่อผมมีแค่ วิชญ์” วิชญ์พูดโดยเน้นชื่อตัวเองเป็นพิเศษ
“วิชญ์” เมื่อศินทวนชื่อที่ถูกต้องเด็กหนุ่มก็หายปวดหัวไปบ้าง หลังจากนั้นระหว่างทั้งคู่ก็มีแต่ความเงียบขณะเดินไปตามทาง พวกเขาเดินผ่านกลับมาที่ป้ายรถเมล์เมื่อครั้งแรก ที่ป้ายก็ยังว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของรถเมล์ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินผ่านที่โล่ง บางทีก็มีหญ้าเป็นเส้นดินสอสีเขียว บางทีก็เป็นที่โล่งแบบกระดาษขาว ใช้เวลาพักใหญ่กว่าวิชญ์จะเริ่มเห็นตัวเมืองและสิ่งที่อาศัยอยู่ในเมือง
“เรามาถึงเมืองแล้ว” เสียงของศินทำให้วิชญ์เริ่มมองไปรอบๆ
เมืองนี้เป็นเมืองที่แปลกที่สุดเท่าที่วิชญ์เคยเห็น สิ่งก่อนสร้างของที่นี่เป็นเส้นดินสอและปากกาสีดำบางแห่งถูกระบายด้วยสีน้ำ บางแห่งเป็นดินสอสี บางแห่งก็เป็นแค่ดินสีดำหรือไม่มีสีไปเลยก็มี ที่แปลกกว่านั้นคือรูปร่างของพวกมันมีทั้งตึกยุคปัจจุบันแบบที่เขาเคยเห็น ตึกที่ดูเหมือนโลกอนาคต บ้านทรงไทยหรือกระทั่งบ้านสไตล์ยุโรปยุคกลางก็มี บางแห่งยังเป็นรูปทรงที่ระบุไม่ได้ด้วย วิชญ์คาคะเนขนาดของเมืองจากระยะทางที่เขาเดินผ่าน เด็กหนุ่มเดาว่าที่นี่คงไม่ได้ใหญ่มากนัก ส่วนผู้อาศัยที่นี่ก็แปลกยิ่งกว่าตัวเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างผสมกัน ที่นี่มีทั้งสัตว์ประหลาด มนุษย์ที่มีแค่มือ สัตว์ที่ยืนสองขา หรือกระทั่งตัวการ์ตูนมนุษย์ธรรมดาๆ และทั้งหมดเป็นรูปวาด วิชญ์สังเกตว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นลายเส้นที่ไม่ลงสีและเป็นภาพวาดแนวการ์ตูนหยาบๆ ตัวที่ดูเรียบร้อยแบบศินไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินตามศินไปเรื่อยๆจนกระทั่งศินพาเข้าไปยังร้านกาแฟร้านหนึ่งที่อยู่ใต้ตึกที่ไม่ได้ลงสี ข้างในร้านกาแฟมีของไม่เยอะ เหมือนรูปวาดที่ยังเสร็จดี ในร้านมีคนอีกสองคนนั่นอยู่ คนหนึ่งผู้หญิงอีกคนเป็นชายวัยกลางคน
หญิงสาวเป็นคนที่มีรูปร่างสูง ขายาวมากเหมือนในรูปการ์ตูนที่วาดไว้ออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่น เธอเป็นเส้นปากกาที่ตัดเส้นคมกริบ ลงสีแค่ชั้นเดียว ผมยาวประบ่าสีส้มเรียบตรง ไม่กระเซิงเลยสักเส้น เธอแต่งหน้า ทาปากสีแดงหนาเงาวับ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูตามเทรนด์ที่กำลังมาในตอนนี้ ส่วนชายวัยกลางคนเขาเป็นภาพวาดคนเหมือนสีขาวดำที่เหมือนคนจริงๆมากที่สุดในที่นี้ ชายคนนั้นไม่สูงมาก ใส่เสื้อเชิร์ตสีขาว กางเกงสแล็กสีดำ รองเท้าหนังขัดจนมัน ผมบนหัวก็ดูบาง หน้าตาเขาดูใจดีและเป็นมิตรมากกว่าหญิงสาว
“ไปเก็บตัวไม่สมประกอบอะไรมาอีกล่ะศิน” ฝ่ายหญิงสาวเป็นคนพูดก่อน ทำให้วิชญ์รู้สึกไม่ชอบหน้าเธอขึ้นมาทันที
“โดนพามาอีกคนใช่มั้ย” คราวนี้เป็นชายวัยกลางคน
“คิดว่าอย่างนั้นครับ” ศินตอบชายคนนั้นอย่างสุภาพ
“เธอคงตกใจแย่เลยสินะ” ชายวัยกลางคนหันมาถามวิชญ์ ทำให้เด็กหนุ่มอึกอักเพราะไม่ทันตั้งตัว แล้วชายคนนั้นก็ชวนให้วิชญ์มานั่งตรงข้ามเขา ส่วนศินก็ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ จากนั้นทั้งสามคนก็คุยกันในเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาพอฟังได้ว่าส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการซ่อมสิ่งของบางอย่างและคนไม่พอ ไม่นานก็มีถ้วยชามาวางเพิ่มอีกสองใบโดยมือลอยได้สองข้าง วิชญ์ดูตกใจอยู่หน่อยๆเมื่อเห็นมือลอยได้ มันทำให้เขานึกถึงหนังสยองขวัญที่เคยดูเมื่อนานมาแล้วพิกล
พอวิชญ์จะหยิบด้วยชาขึ้นมาดื่มเขาก็พบว่าถ้วยชาไม่ใช่รูปวาด มันเป็นตัวหนังสือที่เขียนว่าถ้วยชาที่จัดตัวให้มีรูปร่างคล้ายกับด้วยชาจริงๆมากที่สุด วิชญ์พยายามหาว่าเขาจะดื่มมันยังไงโดยการลอบมองอีกสามคนที่เหลือ แล้วเด็กหนุ่มก็เอามือจับตรงส่วนของสระอาที่ดูเหมือนจะเป็นหูแก้ว แล้วยกขึ้นมาจรดที่ปาก เขาค้นพบว่าน้ำชาก็เป็นตัวหนังสือที่เขียนว่าชาเต็มไปหมด แต่รสชาติก็ยังเหมือนชา
“เรามาดูกันดีกว่าเด็กคนนี้มาที่นี่ได้ยังไง เล่าให้เราฟังหน่อยสิ ทั้งเรื่องของเธอทั้งการที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่” เขาดูน่าเกรงขามและในขณะเดียวกันก็ดูใจดี เด็กหนุ่มรู้สึกไม่อย่างสบตาของชายวัยกลางคนที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปในหัวเขา และคำพูดของชายวัยกลางคนคนนั้นดูเหมือนมนต์สะกดที่วิชญ์ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ผมชื่อวิชญ์ เป็นลูกคนเดียว เรียนอยู่ปีหนึ่ง เอ่อ ผมเรียนเกี่ยวกับศิลปะ ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คือผมออกไปปริ๊นท์งานส่งแล้วขากลับตอนขึ้นรถเมล์ก็เผลอหลับไป ผมสะดุ้งตื่นเพราะคิดว่ามันสุดสายแล้ว แต่พอลงจากรถก็โผล่มา...ที่นี่” ทั้งวงสนทนาเงียบสนิทราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วชายวัยกลางคนก็พูดออกมา
“ฉันอยากให้เธอเปิดใจแล้วฟังสิ่งที่ฉันจะพูดหลังจากนี้ให้ดี” หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เริ่มอธิบายเรื่องราวให้เด็กหนุ่มฟัง
ที่นี่คือโลกในกระดาษ ส่วนเมืองที่วิชญ์อยู่นี้คือหน้ากระดาษเพียงแค่หนึ่งหน้าจากทั้งหมดหลายพันล้านหน้า ที่นี่ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการวาดหรือเขียน ทำให้ที่นี่มีแต่สิ่งแปลกประหลาดมากมายและดูวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้อาศัยหรือสิ่งก่อสร้าง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าหน้ากระดาษหน้านั้นจะถูกวาดอะไรลงไปบ้าง และทุกอย่างที่นี่สามารถต่อเติม เขียนทับหรือลบแล้ววาดขึ้นมาใหม่ก็ได้
ส่วนการที่วิชญ์หลงมาอยู่ที่นี่ชายวัยกลางคนได้สันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็นเพราะหน้ากระดาษนี้กำลังอยู่ในวิกฤติครั้งใหญ่ เขาอธิบายถึงรอยขีดสีดำว่ามันคือรอยขีดฆ่าที่เป็นอันตรายต่อโลกของกระดาษ มันเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุและไม่สามารถคาดคะเนได้ว่ามันจะโผล่ขึ้นมาตรงไหน ตอนนี้มันยังผุดขึ้นมานอกเมืองในเขตที่ไม่มีคนอาศัย ทำให้ยังไม่มีใครเดือดร้อนแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มาลามเข้ามา ทุกอย่างอาจจะพังทลายได้ ถ้าเทียบกับโลกของมนุษย์ปกติแล้วอาจจะเป็นภัยพิบัติร้ายแรงชนิดหนึ่งได้เลย และวิชญ์ถูกพาเข้ามาเพื่อช่วยหยุดมันเหมือนกับอีกสองคนที่เหลือ
วิชญ์ตั้งคำถามมากมายอยู่ในใจแต่เขาไม่ได้พูดมันออกมา เพราะสายตาของชายคนนั้นบอกเป็นนัยๆว่าเขาห้ามถามอะไรทั้งนั้น ในตอนนี้เขามีหน้าที่แค่รับฟังเพียงอย่างเดียว
“ศินกับภาก็ถูกนำมาที่นี่เหมือนกัน เธอคงได้ยินเรื่องที่เราคุยกันไปตอนแรกแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนก็กำลังดำเนินการซ่อมแซมแล้วก็ลบรอยสีดำให้หายไปจากหน้ากระดาษนี้อยู่ เธอน่าจะได้ยินไปบ้างแล้วว่าเรามีคนไม่พอจำนวนการซ่อมที่นี่ รอยสีดำเกิดขึ้นมาเยอะแล้วเร็วเกินไป” แล้วชายวัยกลางคนก็เงียบไป วิชญ์นั่งรอเงียบๆว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เกิดความเงียบชั่วอึดใจในระหว่างที่จานคุกกี้ถูกนำมาเสิร์ฟ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรวิชญ์ก็เอื้อมมือไปหยิบตัวหนังสือที่เขียนว่าคุกกี้ช็อกโกแลตชิปขึ้นมากิน
“เธอว่าเธอเรียนเกี่ยวกับศิลปะใช่มั้ย” วิชญ์พยักหน้าให้ชายคนนั้น
“ฉันอยากให้เธอมาช่วยพวกเราซ่อมที่นี่กัน ถ้าทำสำเร็จเธออาจจะเจอทางกลับโลกปกติของเธอ”
ผู้แต่ง : ดินสอสีแดง
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | ไม่ควรหลับบนรถเมล์ | 14 ก.พ. 59 |
2 | ระวังตัวเงินตัวทองขโมยของ | 09 มี.ค. 59 |
3 | ซ่อมแซมไม่จบสิ้น | 15 มี.ค. 59 |
4 | ้เจ้าของ | 25 มี.ค. 59 |
5 | บทที่ 5 คนแปลกหน้าและรอยขีดฆ่า | 01 เม.ย. 59 |
สวัสดีคร้าบ~
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจจากเฮียไว้ได้ในความแปลกของเนื้อเรื่อง โลกในหน้ากระดาษ ตัวละครที่ถูกดึงเข้ามาจนกลายเป็นภาพสองมิติ มีมือลึกลับมาคอยขีดฆ่าด้วย! แปลก แปลกมากกก แต่ก็ชวนให้อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามอ่านอยู่นะครับผม
นี่เฮียเอง