EN19 โลกอีกใบในหนึ่งหน้ากระดาษ

เขาถูกเลือกให้ช่วยเหลือโลกนี้จากวิกฤติ ?รอยขีดฆ่า? โดยใช้ฝีมือทางการวาดของเขา เพื่อแลกกับทางกลับโลกของตัวเอง แต่การช่วยเหลือก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คาดหวังไว้

ผู้แต่ง

ดินสอสีแดง

0%

ตอนที่ 1/5 : ไม่ควรหลับบนรถเมล์

                สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มสัมผัสได้คือเขาไม่หายใจ...ตัวเขา...ไม่ได้หายใจอยู่ หน้าอกของเขาไม่มีการขยับขึ้นลง ไม่มีลมหายใจผ่านจมูก เขาไม่ได้หายใจอยู่จริงๆ เด็กหนุ่มพยายามตั้งสติและนึกทบทวนว่าตัวเองเป็นใคร ทำอะไรหรืออยู่ที่ไหนเมื่อครั้งสุดท้ายก่อนจะมาอยู่ที่ป้ายรถเมล์กลางที่โล่งที่เขาไม่เคยเห็น

                เราชื่อ...วิชญ์ ชื่อจริงชื่อว่ากรวิชญ์ นั่งรถเมล์กลับหอในมหาลัยแล้วดันเผลอหลับไประหว่างทาง ตื่นมาอีกทีก็... วิชญ์มองไปรอบๆ ป้ายรถเมล์ที่ไม่มีใคร และรถเมล์ที่เขานั่งมาก็หายไปแล้ว เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวเมื่อมองไม่เห็นรถเมล์ที่ตนเองนั่งมา เมื่อครู่นี้มันยังอยู่ตรงหน้าเขาแต่ตอนนี้มันกลับอันตรธานหายไป วิชญ์ใช้เวลาครู่หนึ่งในการทบทวนข้อมูลอีกรอบ เขาพยายามสูดลมหายใจแล้วก็นึกได้ว่าตัวเขาไม่หายใจแล้ว               

ทั้งหมดนี่อาจจะเป็นแค่ฝันร้าย เดี๋ยวเราก็จะตื่น ไปเรียนตามปกติ แต่อีกเสียงในใจก็บอกว่า

แต่เรากำลังนั่งรถกลับหอนะ บางทีระหว่างที่เราเผลอหลับไปรถเมล์อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วเราก็ตายไม่รู้ตัวตอนนั้นก็ได้ การที่เราไม่หายใจมันก็บอกอยู่แล้วว่าเราตายไปแล้ว เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง

ตาย...นี่เรา...ตายแล้ว ? งั้นนี่ก็โลกหลังความตาย ? เด็กหนุ่มมองไปรอบๆอีกครั้งเพื่อหายมทูตหรือวิญญาณตนอื่นหรืออะไรก็ตามที่บอกได้ว่าเขากำลังอยู่ในนรกไม่ก็สวรรค์ แต่ก็ไม่พบอะไร...ป้ายรถเมล์ หญ้าข้างทาง ถนนที่ขาดหายไปในพื้นหลังสีขาวเหมือนกระดาษ แล้ววิชญ์ก็สะกิดใจขึ้นมา ตามปกติแล้ว...มันไม่ควรขาวเหมือนกระดาษแบบนี้ ต่อให้เป็นที่โล่งมากขนาดไหนแต่เขาก็ไม่เคยเห็นอะไรที่ว่างเปล่าเหมือนกระดาษไร้เส้นสีขาวแบบนี้

                ...นี่เราอยู่ที่ไหน!!’ ความคิดที่ว่าตัวเองตายไปแล้วหายไปจากหัวของเด็กหนุ่ม เขากลับมาพิจารณารอบตัวเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เขามองทุกอย่างให้ละเอียดมากกว่าเดิม ป้ายรถเมล์มีเสาที่เอียงไปทางขวา ตัวเสาก็ไม่ได้ตรงเหมือนกับปกติ พอดูให้ดีแล้วมันเป็นเส้นที่เกิดจากปากกาสีดำแถมยังขีดไม่ตรงด้วย สีฟ้าของป้ายรถเมล์ก็เลอะออกมาข้างนอก แต่มันไม่เหมือนปกติตรงที่สีของมันเหมือนกับรูปวาดที่ระบายสีออกนอกเส้น แถมรูปวาดรถเมล์ข้างในป้ายยังไม่ละเอียดเลยด้วย พอก้มมองหญ้าที่พื้นมันก็ดูเป็นแค่ดินสอสีขีดเป็นเส้นๆเท่านั้น ไม่ใช่หญ้าจริงๆ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเมื่อสัมผัสได้ถึงความ ผิดปกติอย่างร้ายกาจ ของที่นี่

                เหมือนรูปวาดเลย

                วิชญ์เริ่มรู้สึกหวาดกลัวเมื่อรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่โลกหลังความตาย ตอนนี้เขายอมไปที่โลกหลังความตายเลยดีกว่าถ้าจะต้องอยู่ในที่ที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคือที่ไหน ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนเดิน เขาดีใจมากและรีบหันหลังกลับไปทักทายทันที

                “ขอโทษนะครับ พอจะรู้มั้ยว่าที่นี่...” วิชย์หยุดพูดทันทีเมื่อเห็น...ตัวประหลาดตรงหน้า มันสูงกว่าเขาราวหนึ่งช่วงศีรษะ มีขนที่หยักศกเป็นลอนคลื่นออกมาจากหัวของมันเหมือนผมของมนุษย์ยาวลงมาคลุมทั้งตัวจนไม่เห็นใบหน้าหรือลำตัว ปลายของเส้นขนเหล่านั้นลากอยู่กับพื้นถนน วิชญ์ตกใจตัวแข็งไป เขาพูดอะไรไม่ออก เจ้าตัวประหลาดขนยาวเดินเข้ามาหาเขา มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง สมองของเด็กหนุ่มสั่งให้เขาออกวิ่งแต่ร่างกายกลับไม่ทำตาม

                วิ่ง!! วิ่งสิ!! วิ่ง!!’ เสียงตัวเขาเองดังก้องอยู่ในหัว แต่ร่างกายก็ยังไม่ยอมขยับจนมือผอมแห้งเหมือนกระดูกของตัวประหลาดโผล่ออกมาจากใต้ขนหมายจะจับตัวของเขาพร้อมกับดวงตาที่ดูแข็งทื่อที่ดูไร้ชีวิตเผยออกมาให้เห็นข้างหนึ่ง ในตอนนั้นเองร่างกายของเด็กหนุ่มก็ยอมขยับ

                วิชญ์เบี่ยงตัวแล้วก้มหลบในเสี้ยววินาที แล้วกลับหลังหันวิ่งหนีออกไป เด็กหนุ่มสับขาวิ่งอย่างรวดเร็ว พยายามพาตัวเองออกห่างจากตัวประหลาดให้ไกลที่สุดที่เท่าจะทำได้ เขาวิ่งไปโดยไม่สนใจรอบตัวว่ามีอะไรบ้าง เด็กหนุ่มแค่วิ่งไปตามถนนจนใกล้สุดทาง ด้านหน้าเขาเป็นพื้นที่โล่งสีขาว วิชญ์จึงตัดสินใจเลี้ยวไปทางซ้ายแล้ววิ่งต่อไป

                เขาวิ่งเหมือนไม่รู้จักควมเหนื่อย เพียงแค่คิดว่าต้องกลับไปเจอตัวประหลาดที่มีดวงตาไร้ชีวิตเขาก็ออกแรงวิ่งต่อ เมื่อเห็นว่ามาได้ไกลพอสมควรวิชญ์จึงหยุด

                คงพ้นไม่ตามมาถึงนี่หรอก... แล้วเขาจึงได้เอะใจว่าตัวเองไม่รู้สึกเหนื่อยทั้งวิ่งมาเป็นระยะทางไกลพอสมควร ตามปกติควรจะหอบแล้วก็ขาอ่อนไปแล้ว

                หรือเป็นเพราะที่นี่เราไม่ได้หายใจ... แต่เมื่อคิดอีกทีเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจว่ามันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกันกับการที่ตัวเขาไม่หายใจ แล้วเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายอีกอย่างนั่นคือหัวใจเขาไม่เต้น ตามปกติแล้วมันควรจะเต้นตุบตับอยู่ข้างใน ยิ่งหลังจากการวิ่งแบบเมื่อครู่นี้แล้วเขาควรจะสัมผัสมันได้ด้วยสิ แต่ตอนนี้มันกลับสงบนิ่งราวกับว่าไม่หัวใจของเขาไม่เคยอยู่ข้างในนั้น

                นอกจากเราจะไม่หายใจแล้ว นี่หัวใจยังไม่เต้นด้วยเหรอ!’ วิชญ์รู้สึกปวดหัวตุบๆขึ้นมาทันที ยิ่งเขาพยายามคิดหาเหตุผลมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ สภาพของเขาตอนนี้เหมือนกับคนตายโดยสมบูรณ์แค่ยังเคลื่อนไหวได้

                แบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับซอมบี้เลยน่ะสิ ไม่ๆซอมบี้ไม่น่าจะคิดอะไรได้มากขนาดนี้ สุดท้ายวิชญ์ก็เลิกคิดแล้วกลับมามองรอบตัวว่าตอนนี้เขาเข้ามาอยู่ที่ไหน รอบตัวตอนนี้มีแต่รอยขีดเต็มไปหมด มีทั้งสั้น ยาว ความกว้างก็ไม่เท่ากัน มีทั้งที่อยู่กับพื้นรวมถึงลอยบนอากาศ แต่ละรอยเองก็ดูมีสีที่ต่างกันส่วนมากจะเป็นสีดำ อาจมีสีน้ำเงินหรือแดงโผล่มาบ้างประปราย รอยเหล่านั้นดูเหมือนหิ้งที่ลอยบนอากาศ วิชญ์พิจารณาดูนั้นใกล้ๆ จนเห็นว่ารอยสีดำส่วนมากเกิดจากอะไร

                ดินสอ ? สีน้ำเงินกับแดงนั่นก็ปากกา ? ว่าแล้วเขาก็ลองเอามือไปแตะรอยขีดรอยเล็กๆที่ลอยอยู่ในระดับสายตาเขารอยหนึ่งดูด้วยความสนใจและสงสัย

                “โอ๊ย!” วิชญ์อุทานเสียงดังด้วยความเจ็บ นิ้วชี้ที่แตะรอยขีดเล็กๆเมื่อครู่เกิดเส้นสีดำเหมือนรอยแผลขึ้นมาพร้อมกับของเหลวสีดำที่ไหลออกมาจากตัวเขา เด็กหนุ่มตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสิ่งที่ไหลออกมาจากมือตัวเองไม่ใช่เลือด

                “อ้าก!!” คราวนี้เขาร้องลั่น นอกจากจะตกใจเรื่องที่เลือดเขาจะกลายเป็นสีดำ วิชญ์ยังเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไป ผิวเขาไม่ใช่สีเนื้อ มันกลายเป็นสีขาวเหมือนกับกระดาษ มือ แขน ขา เสื้อผ้า ทุกอย่างเท่าที่เขามองเห็นได้ด้วยตากลายเป็นลายเส้นดินสอเหมือนกับรูปวาดในกระดาษ เหมือนกับป้ายรถเมล์ที่เขาเห็น เหมือนกับรอยขีดของดินสอพวกนั้น เด็กหนุ่มสติแตกร้องลั่นอยู่คนเดียวในกลุ่มก้อนของรอยขีดสีดำโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวประหลาดที่วิ่งหนีมาได้ใกล้เข้ามาแล้ว

                “ตื่นสิ! ถ้านี่เป็นความฝันก็ตื่นสักที! นี่มันอะไรกัน! เหวอ!” ระหว่างที่พยายามปลุกตัวเองให้ตื่น วิชญ์ก็เหลือบไปเห็นตัวประหลาดตัวเดิมยืนมองเขาด้วยสายตาไร้ชีวิต ถอยหนีลึกเข้าไปในกลุ่มของรอยขีดอัตโนมัติ ถึงแม้ว่ามันจะบาดและสร้างรอยขีดสีดำให้กับตัวเขาก็ตาม แต่มันก็คุ้มค่าเพราะตัวประหลาดขนยาวตรงหน้าไม่มีท่าทีว่าจะก้าวตามเข้ามา แล้ววิชญ์ก็ต้องตกใจเมื่อมันตะโกนใส่เขา

                “อยากตายมากหรือไง! ออกมาจากรอยขีดฆ่านั่นซะ!” เป็นครั้งแรกที่วิชญ์ได้ยินเสียงของตัวประหลาดแถมยังเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนจนน่าแปลกใจ

                วิชญ์ส่ายหัวอย่างแรงเป็นคำตอบ เจ้าตัวประหลาดขนยาวเดาะลิ้นอย่างหงุดหงิดพร้อมทั้งพยายามเดินหลบรอยขีดเพื่อเข้าไปคว้าตัววิชญ์ เด็กหนุ่มถอยหนีเข้าไปโดยระวังไม่ให้ตัวเองโดนรอยขีดสีดำไปมากกว่านี้ ตัวประหลาดนั่นถอยกลับออกไปบริเวณที่ไร้รอยขีด  วิชญ์โล่งอกเพราะคิดว่าตัวเองรอดแล้ว

                ทันใดนั้นเอง เชือกสีดำยาวก็พุ่งเข้ามาหาวิชญ์แล้วพันรอบตัวเขาตั้งแต่ช่วงไหล่ลงไปถึงข้อเท้าจนแน่นพร้อมกับมัดตัวเองไว้เสร็จสรรพ ปลายอีกด้านของเชือกสีดำอยู่ในมือผอมแห้งของตัวประหลาดขนยาว แล้วตัวเขาก็ถูกดึงตัวลอยออกไปกระแทกพื้นบริเวณที่ตัวประหลาดยืนอยู่         

                “ไง” ตัวประหลาดทักทายเขาอีกครั้ง

                “ปล่อยฉัน!” วิชญ์ตะโกนกลับไปทันที ในขณะที่ตัวก็พยายามจะดิ้นหนีออกจากเชือกสีดำ ตัวประหลาดกรอกตาที่ตอนนี้เห็นอยู่ข้างเดียวของมัน

                “ดูจากท่าทางแกแล้ว ฉันไม่ปล่อยดีกว่า ปล่อยไปก็วิ่งเข้าไปในนั้นอีก” ว่าแล้วตัวประหลาดขนยาวก็นั่งขัดสมาธิกับพื้น ก่อนจะมองเด็กหนุ่มที่ดิ้นดุกดิกเหมือนหนอน

ตัวประหลาดทิ้งให้วิชญ์พยายามดิ้นเอาตัวรอดอยู่กับพื้นอยู่พักใหญ่ เม่อวิชญ์เห็นว่าไม่มีประโยชน์ใดๆที่จะดื้นให้หลุดจากเชือก เด็กหนุ่มหยุดทำไปเอง เขากลับมานอนนิ่งๆมองตัวประหลาดที่นั่งกับพื้น ตอนนั้นวิชญ์จึงสังเกตเห็นว่ามันมีขาผอมๆที่สวมกางเกงยีนสีซีดอยู่ และเท้าใส่รองเท้าแตะแบบคีบยี่ห้อคุ้นตาที่มีสีฟ้ากับขาว ทั้งหมดที่วิชญ์เห็นล้วนเกิดจากเส้นของดินสอสีที่ระบายไว้อย่างปราณีตจนดูเหมือนกับของจริง

                “พร้อมจะฟังคนอื่นพูดหรือยัง” เด็กหนุ่มเมินคำถามของตัวประหลาดไปพร้อมกับร้องออกมาเสียงดัง

                “แกเป็นรูปวาดนี่!

                “ใช่” ตัวประหลาดตอบเพียงแค่นั้นก่อนจะนั่งมองวิชญ์ เด็กหนุ่มพยายามคิดคำถามที่จะถาม...ตัวอะไรก็ตามที่อยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็คิดไม่ออก จากนั้นเจ้าตัวตรงหน้าเขาก็ถามคำถามเดิมซ้ำมาอีกครั้ง

                “พร้อมจะฟังคนอื่นพูดหรือยัง” วิชญ์จึงผงกหัวครั้งหนึ่ง แล้วตัวประหลาดจึงเอามือแหวกส่วนที่วิชญ์เคยคิดว่ามันเป็นขนออกเป็นสองทางแล้วเอาไปทัดหู เมื่อผมยาวเป็นลอนถูกเปิด วิชญ์ก็เห็นว่าข้างในมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผอมมาก แก้มตอบ โหนกแก้มนูนเด่นขึ้นมา ขอบตาคล้ำ ตาตกและดวงตาสีดำที่ไร้แวว ผิวสีแทนก็เกิดจากการระบายสี ในขณะที่ผมเป็นเส้นดำสอสีดำที่มีน้ำหนักของเส้นแตกต่างกัน อีกฝ่ายใส่เสื้อคอกลมที่มีหลากสีผสมกันโดยการเอาเส้นดินสอสีจำนวนมากมาวางซ้อนกันเป็นชั้นๆ

                รูปวาดจริงๆด้วย เด็กหนุ่มสรุปในใจระหว่างที่มนุษย์รูปวาดตรงหน้าเริ่มถามคำถามกับเขา

                “แกมาจากโลกปกติใช่มั้ย” ดูเหมือนว่าสีหน้าวิชญ์จะแสดงออกได้ชัดเจนว่าไม่เข้าใจคำถาม อีกฝ่ายจึงยกตัวอย่างเพิ่มเติมขึ้นมา

                “ที่ทุกอย่างไม่ใช่รูปวาดแบบนี้น่ะ” เด็กหนุ่มจึงพยักหน้า ชายหนุ่มร่างผอมขมวดคิ้วแล้วพึมพำว่า

                อีกแล้วสินะวิชญ์ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ว่าอีกแล้วที่ว่าหมายถึงอะไร

                “ฉันจะปล่อยแกออกจากเชือก แล้วถ้าจะหนีอย่างน้อยก็อย่าวิ่งเข้าไปในบริเวณรอยขีดสีดำนั่น” แล้วชายหนุ่มก็ชี้มือไปยังบริเวณที่เต็มไปด้วยรอยขีดที่วิชญ์วิ่งเข้าไปตอนแรก

                “ทำไม” เด็กหนุ่มถามกลับ

                “รอยพวกนั้นสามารถฆ่าทั้งฉันและแกที่เป็นรูปวาดได้ โดนขีดฆ่าไปขนาดนั้นยังจะถามอีก ไม่รู้สึกเจ็บหรือไงหรือเพราะเป็นงานที่ยังไม่เสร็จถึงได้ไม่มีความรู้สึก”

รูปวาด?  ขีดฆ่า? งานที่ไม่เสร็จ?เขาพยายามทำความเข้าใจเรื่องราวโดยอาศัยคำพูดอีกฝ่ายแต่วิชญ์ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจทั้งหมดได้ และดูเหมือนว่าสีหน้าของเขาจะบอกถึงความไม่เข้าใจอีกแล้ว เพราะฝ่ายชายหนุ่มก็เอามือขยี้หัวตัวเอง

“รอยพวกนั้นก็เหมือนกับมีดที่จะแทงพวกเราที่เป็นรูปวาดในระกระดาษ เพราะแบบนั้นเลยห้ามเข้าไปใกล้ แล้วตอนนี้แกก็เป็นรูปวาดถ้าโดยรอยพวกนั้นก็อาจจะตายได้” เมื่อโดนวิชญ์ทำหน้าไม่รู้เรื่องใส่อีกครั้ง ชายหนุ่มผมยาวลากพื้นจึงตัดสินใจที่จะให้คนอื่นเป็นคนอธิบายแทน

“เอาเป็นฉันจะแกมัดเชือกให้ แล้วจะพาไปหาคนที่อธิบายได้ ถ้าอยากหนีก็หนีก็แล้วกัน” แล้วเขาก็ถอยออกห่างจากเด็กหนุ่ม เพียงพริบตาเดียวเชือกสีดำก็หายไป ทิ้งไว้แต่รอยปื้นดำๆบนตัววิชญ์ในบางจุด เด็กหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นแล้วจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ละสายตา แล้วชายหนุ่มร่างผอมก็เอาผมที่ทัดหูให้กลับมาปิดทั้งตัวเหมือนเดิมก่อนจะออกเดินนำไปตามถนนที่วิชญ์วิ่งมาในทีแรก

วิชญ์ยังลังเลใจที่จะเดินตามไป จนมนุษย์ผมยาวคนนั้นหันกลับมาทัก เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะตามไป

“แล้ว...คุณมีชื่อมั้ย” วิชญ์ถามระหว่างที่เดินตามไปข้างหลัง

“ฉันชื่อศิน”

“ผมวิชญ์นะ”

“วิชนะ ? แกนี่ชื่อแปลกๆ”

“ไม่ใช่ๆ แค่วิชญ์เฉยๆ”

“ไหนตอนแรกบอกว่าวิชนะ” เด็กหนุ่มอยากเอาหัวโขกกับโต๊ะเหลือเกินเพราะความเข้าใจผิดของรูปวาดที่ชื่อศิน

“นะเป็นคำลงท้ายเฉยๆ เฉยก็เป็นคำลงท้ายด้วย ชื่อผมมีแค่ วิชญ์” วิชญ์พูดโดยเน้นชื่อตัวเองเป็นพิเศษ

“วิชญ์” เมื่อศินทวนชื่อที่ถูกต้องเด็กหนุ่มก็หายปวดหัวไปบ้าง หลังจากนั้นระหว่างทั้งคู่ก็มีแต่ความเงียบขณะเดินไปตามทาง พวกเขาเดินผ่านกลับมาที่ป้ายรถเมล์เมื่อครั้งแรก ที่ป้ายก็ยังว่างเปล่า ไม่มีวี่แววของรถเมล์ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินผ่านที่โล่ง บางทีก็มีหญ้าเป็นเส้นดินสอสีเขียว บางทีก็เป็นที่โล่งแบบกระดาษขาว ใช้เวลาพักใหญ่กว่าวิชญ์จะเริ่มเห็นตัวเมืองและสิ่งที่อาศัยอยู่ในเมือง

“เรามาถึงเมืองแล้ว” เสียงของศินทำให้วิชญ์เริ่มมองไปรอบๆ

เมืองนี้เป็นเมืองที่แปลกที่สุดเท่าที่วิชญ์เคยเห็น สิ่งก่อนสร้างของที่นี่เป็นเส้นดินสอและปากกาสีดำบางแห่งถูกระบายด้วยสีน้ำ บางแห่งเป็นดินสอสี บางแห่งก็เป็นแค่ดินสีดำหรือไม่มีสีไปเลยก็มี ที่แปลกกว่านั้นคือรูปร่างของพวกมันมีทั้งตึกยุคปัจจุบันแบบที่เขาเคยเห็น ตึกที่ดูเหมือนโลกอนาคต บ้านทรงไทยหรือกระทั่งบ้านสไตล์ยุโรปยุคกลางก็มี บางแห่งยังเป็นรูปทรงที่ระบุไม่ได้ด้วย วิชญ์คาคะเนขนาดของเมืองจากระยะทางที่เขาเดินผ่าน เด็กหนุ่มเดาว่าที่นี่คงไม่ได้ใหญ่มากนัก ส่วนผู้อาศัยที่นี่ก็แปลกยิ่งกว่าตัวเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างหลายอย่างผสมกัน ที่นี่มีทั้งสัตว์ประหลาด มนุษย์ที่มีแค่มือ สัตว์ที่ยืนสองขา หรือกระทั่งตัวการ์ตูนมนุษย์ธรรมดาๆ และทั้งหมดเป็นรูปวาด วิชญ์สังเกตว่าส่วนใหญ่มักจะเป็นลายเส้นที่ไม่ลงสีและเป็นภาพวาดแนวการ์ตูนหยาบๆ ตัวที่ดูเรียบร้อยแบบศินไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย

เขาเดินตามศินไปเรื่อยๆจนกระทั่งศินพาเข้าไปยังร้านกาแฟร้านหนึ่งที่อยู่ใต้ตึกที่ไม่ได้ลงสี ข้างในร้านกาแฟมีของไม่เยอะ เหมือนรูปวาดที่ยังเสร็จดี ในร้านมีคนอีกสองคนนั่นอยู่ คนหนึ่งผู้หญิงอีกคนเป็นชายวัยกลางคน

     หญิงสาวเป็นคนที่มีรูปร่างสูง ขายาวมากเหมือนในรูปการ์ตูนที่วาดไว้ออกแบบเสื้อผ้าแฟชั่น เธอเป็นเส้นปากกาที่ตัดเส้นคมกริบ ลงสีแค่ชั้นเดียว ผมยาวประบ่าสีส้มเรียบตรง ไม่กระเซิงเลยสักเส้น เธอแต่งหน้า ทาปากสีแดงหนาเงาวับ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูตามเทรนด์ที่กำลังมาในตอนนี้ ส่วนชายวัยกลางคนเขาเป็นภาพวาดคนเหมือนสีขาวดำที่เหมือนคนจริงๆมากที่สุดในที่นี้ ชายคนนั้นไม่สูงมาก ใส่เสื้อเชิร์ตสีขาว กางเกงสแล็กสีดำ รองเท้าหนังขัดจนมัน ผมบนหัวก็ดูบาง หน้าตาเขาดูใจดีและเป็นมิตรมากกว่าหญิงสาว

   “ไปเก็บตัวไม่สมประกอบอะไรมาอีกล่ะศิน” ฝ่ายหญิงสาวเป็นคนพูดก่อน ทำให้วิชญ์รู้สึกไม่ชอบหน้าเธอขึ้นมาทันที

“โดนพามาอีกคนใช่มั้ย” คราวนี้เป็นชายวัยกลางคน

“คิดว่าอย่างนั้นครับ” ศินตอบชายคนนั้นอย่างสุภาพ

“เธอคงตกใจแย่เลยสินะ” ชายวัยกลางคนหันมาถามวิชญ์ ทำให้เด็กหนุ่มอึกอักเพราะไม่ทันตั้งตัว แล้วชายคนนั้นก็ชวนให้วิชญ์มานั่งตรงข้ามเขา ส่วนศินก็ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ จากนั้นทั้งสามคนก็คุยกันในเรื่องที่เด็กหนุ่มไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาพอฟังได้ว่าส่วนมากจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการซ่อมสิ่งของบางอย่างและคนไม่พอ ไม่นานก็มีถ้วยชามาวางเพิ่มอีกสองใบโดยมือลอยได้สองข้าง วิชญ์ดูตกใจอยู่หน่อยๆเมื่อเห็นมือลอยได้ มันทำให้เขานึกถึงหนังสยองขวัญที่เคยดูเมื่อนานมาแล้วพิกล

พอวิชญ์จะหยิบด้วยชาขึ้นมาดื่มเขาก็พบว่าถ้วยชาไม่ใช่รูปวาด มันเป็นตัวหนังสือที่เขียนว่าถ้วยชาที่จัดตัวให้มีรูปร่างคล้ายกับด้วยชาจริงๆมากที่สุด วิชญ์พยายามหาว่าเขาจะดื่มมันยังไงโดยการลอบมองอีกสามคนที่เหลือ แล้วเด็กหนุ่มก็เอามือจับตรงส่วนของสระอาที่ดูเหมือนจะเป็นหูแก้ว แล้วยกขึ้นมาจรดที่ปาก เขาค้นพบว่าน้ำชาก็เป็นตัวหนังสือที่เขียนว่าชาเต็มไปหมด แต่รสชาติก็ยังเหมือนชา

“เรามาดูกันดีกว่าเด็กคนนี้มาที่นี่ได้ยังไง เล่าให้เราฟังหน่อยสิ ทั้งเรื่องของเธอทั้งการที่เธอเข้ามาอยู่ที่นี่” เขาดูน่าเกรงขามและในขณะเดียวกันก็ดูใจดี เด็กหนุ่มรู้สึกไม่อย่างสบตาของชายวัยกลางคนที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปในหัวเขา และคำพูดของชายวัยกลางคนคนนั้นดูเหมือนมนต์สะกดที่วิชญ์ต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

“ผมชื่อวิชญ์ เป็นลูกคนเดียว เรียนอยู่ปีหนึ่ง เอ่อ ผมเรียนเกี่ยวกับศิลปะ ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง คือผมออกไปปริ๊นท์งานส่งแล้วขากลับตอนขึ้นรถเมล์ก็เผลอหลับไป ผมสะดุ้งตื่นเพราะคิดว่ามันสุดสายแล้ว แต่พอลงจากรถก็โผล่มา...ที่นี่” ทั้งวงสนทนาเงียบสนิทราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วชายวัยกลางคนก็พูดออกมา

“ฉันอยากให้เธอเปิดใจแล้วฟังสิ่งที่ฉันจะพูดหลังจากนี้ให้ดี” หลังจากนั้นชายคนนั้นก็เริ่มอธิบายเรื่องราวให้เด็กหนุ่มฟัง

 

ที่นี่คือโลกในกระดาษ ส่วนเมืองที่วิชญ์อยู่นี้คือหน้ากระดาษเพียงแค่หนึ่งหน้าจากทั้งหมดหลายพันล้านหน้า ที่นี่ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการวาดหรือเขียน ทำให้ที่นี่มีแต่สิ่งแปลกประหลาดมากมายและดูวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้อาศัยหรือสิ่งก่อสร้าง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าหน้ากระดาษหน้านั้นจะถูกวาดอะไรลงไปบ้าง และทุกอย่างที่นี่สามารถต่อเติม เขียนทับหรือลบแล้ววาดขึ้นมาใหม่ก็ได้

ส่วนการที่วิชญ์หลงมาอยู่ที่นี่ชายวัยกลางคนได้สันนิษฐานไว้ว่าน่าจะเป็นเพราะหน้ากระดาษนี้กำลังอยู่ในวิกฤติครั้งใหญ่ เขาอธิบายถึงรอยขีดสีดำว่ามันคือรอยขีดฆ่าที่เป็นอันตรายต่อโลกของกระดาษ มันเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุและไม่สามารถคาดคะเนได้ว่ามันจะโผล่ขึ้นมาตรงไหน ตอนนี้มันยังผุดขึ้นมานอกเมืองในเขตที่ไม่มีคนอาศัย ทำให้ยังไม่มีใครเดือดร้อนแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มาลามเข้ามา ทุกอย่างอาจจะพังทลายได้ ถ้าเทียบกับโลกของมนุษย์ปกติแล้วอาจจะเป็นภัยพิบัติร้ายแรงชนิดหนึ่งได้เลย และวิชญ์ถูกพาเข้ามาเพื่อช่วยหยุดมันเหมือนกับอีกสองคนที่เหลือ

วิชญ์ตั้งคำถามมากมายอยู่ในใจแต่เขาไม่ได้พูดมันออกมา เพราะสายตาของชายคนนั้นบอกเป็นนัยๆว่าเขาห้ามถามอะไรทั้งนั้น ในตอนนี้เขามีหน้าที่แค่รับฟังเพียงอย่างเดียว

“ศินกับภาก็ถูกนำมาที่นี่เหมือนกัน เธอคงได้ยินเรื่องที่เราคุยกันไปตอนแรกแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนก็กำลังดำเนินการซ่อมแซมแล้วก็ลบรอยสีดำให้หายไปจากหน้ากระดาษนี้อยู่ เธอน่าจะได้ยินไปบ้างแล้วว่าเรามีคนไม่พอจำนวนการซ่อมที่นี่ รอยสีดำเกิดขึ้นมาเยอะแล้วเร็วเกินไป” แล้วชายวัยกลางคนก็เงียบไป วิชญ์นั่งรอเงียบๆว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เกิดความเงียบชั่วอึดใจในระหว่างที่จานคุกกี้ถูกนำมาเสิร์ฟ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรวิชญ์ก็เอื้อมมือไปหยิบตัวหนังสือที่เขียนว่าคุกกี้ช็อกโกแลตชิปขึ้นมากิน

“เธอว่าเธอเรียนเกี่ยวกับศิลปะใช่มั้ย” วิชญ์พยักหน้าให้ชายคนนั้น

“ฉันอยากให้เธอมาช่วยพวกเราซ่อมที่นี่กัน ถ้าทำสำเร็จเธออาจจะเจอทางกลับโลกปกติของเธอ”

               

 



โลกอีกใบในหนึ่งหน้ากระดาษ

ผู้แต่ง : ดินสอสีแดง


Comment จากกรรมการ

#1 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดึงดูดความสนใจจากเฮียไว้ได้ในความแปลกของเนื้อเรื่อง โลกในหน้ากระดาษ ตัวละครที่ถูกดึงเข้ามาจนกลายเป็นภาพสองมิติ มีมือลึกลับมาคอยขีดฆ่าด้วย! แปลก แปลกมากกก แต่ก็ชวนให้อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป ติดตามอ่านอยู่นะครับผม

นี่เฮียเอง

Comment จากกรรมการ

#2 Enter Books Editor Team

ชอบไดอะล็อกนะครับ
อ่านมาจนถึงบทที่สาม
เริ่มจะแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่เขียนบทสนทนาได้ดี
ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติดีครับ XD

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 1 of 1 1
  • ความคิดเห็นที่ 12

    dinn
    • Name : dinn < My.iD > [IP] 171.96.183.87
    • 3 เมษายน 2559 / 20:55
    พี่ปัฐนะครับ ^ ^

    ตัวหนังสือและภาพวาด... สุดยอด!! เป็นไอเดียที่แจ่มจริงๆ ครับ และแอบทำให้นึกถึงสมัยยังหัดวาดรูปขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเลย ที่เคยหนีจากการวาดภาพมาเป็นการเขียนหนังสือแทนด้วยความสามารถที่ไม่ถึงด้านการวาดภาพประหนึ่งพระเอกในเรื่องนี้เลยทีเดียว T_T นอกจากไอเดียแล้วยังแทรกมุกไว้เป็นระยะๆ อย่างเห็นได้ชัดว่ามีฝีมือและอารมณ์ขันในการนำเสนอมากเลย แต่มีข้อติของเรื่องนี้เล็กน้อยเกี่ยวกับคำผิดที่เห็นค่อนข้างเยอะกว่าเรื่องอื่นๆ เขาอยู่นะครับ การบรรยายค่อนข้างตรงๆ ไปนิด มันเลยดูแข็งๆ เหมือนภาพร่างมากกว่าภาพวาดที่สมบูรณ์นะครับ ^ ^ (ขอเปรียบเทียบหน่อย 555) ไม่รู้เป็นเทคนิกของไรท์เตอร์หรือเปล่าที่จะค่อยๆ ทำให้การบรรยายตอนแรกๆ แข็งๆ แล้วค่อยๆ ให้มันไหลลื่นไปพร้อมกับเนื้อเรื่องเพื่อเปรียบเทียบกับการวาดภาพที่จะค่อยๆ ดีขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงนี่สุดยอดเลย ^ ^b เป็นเรืองที่น่าสนใจอีกเรื่องทีเดียวครับ แต่ เรื่องค่อนข้างเข้าใจยากเกินไปสำหรับคนอ่านทั่วไปหรือเปล่า... อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าใครเข้าใจนี่ ผมว่าเรื่องนี้เจ๋งมากจริงๆ ครับ ^ ^b สู้ๆ ครับ
  • ความคิดเห็นที่ 11

    ดินสอสีแดง
    • Name : ดินสอสีแดง [IP] 49.231.230.145
    • 19 มีนาคม 2559 / 19:00
    ขอบคุณสำหรับทุกความเห็น
    จะพยายามนำไปปรับปรุงให้ได้มากที่สุดนะคะ
  • ความคิดเห็นที่ 9

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.245.138
    • 17 มีนาคม 2559 / 21:54
    ชอบไดอะล็อกนะครับ
    อ่านมาจนถึงบทที่สาม
    เริ่มจะแน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่เขียนบทสนทนาได้ดี
    ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติดีครับ XD
  • ความคิดเห็นที่ 8

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.207.19
    • 15 มีนาคม 2559 / 22:36
    มาแบบสั้นๆแต่ตรงประเด็นเหมือนเดิม
    ชอบจารุ (ฮาา) ชื่อน่ารักจังงง ใครตั้งให้ 555
    แต่เรื่องก็ยังเรื่อยๆเหมือนเดิม ก็นะ เรื่อยๆแบบนี้อาจจะดีก็ได้
    แต่แอบคิดว่าบทบาทของตัวละครในแต่ละตอนไม่เท่าเทียม
    ตัวประกอบก็คือตัวประกอบ 5555

    จารุเด่นมากกกก
  • ความคิดเห็นที่ 7

    ดินสอสีรุ้ง
    • Name : ดินสอสีรุ้ง [IP] 103.26.23.222
    • 13 มีนาคม 2559 / 23:17
    ชอบนะ เราจะติดตาม :)
  • ความคิดเห็นที่ 6

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.247.251
    • 10 มีนาคม 2559 / 00:55
    แอบรู้สึกว่าสองบทแรกมันยังเนิบอยู่ T T
    คอนเซปท์ดี แต่เป็นนามธรรมที่อธิบายยากนะคับ ตรงนี้คือจุดที่ต้องระวัง
    เวลานั่งเขียนอยู่หน้าคอมฯ ไม่ต้องเอาคอมเมนท์กรรมการมาใส่ใจนะคับ XD
    พยายามเกาะสิ่งที่เป็นไอเดียแรกของเราเอาไว้ ถ่ายทอดออกมาให้ได้อย่างที่เราเห็นในหัว
    แล้วอะไรจะออกมาดีเอง > <

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 5

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.206.225
    • 9 มีนาคม 2559 / 19:45
    อ่านแล้วเห็นถึงความรีบเร่งของน้องมายด์เลย...
    คำผิดคือเยอะมากกก คำที่แบบต้องตรวจแก้ค่อนข้างเช็คละเอียด แต่ปรากฎว่าคำที่ใช้บ่อยๆกลับพลาดแทน
    คำตก คำขาด อะไรเต็มไปหมดเลยล่ะ ก็เข้าใจนะ แต่ว่าส่งให้เราตรวจก็ได้ 5555 (แกล้งว่าง) 

    ตอนเขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน
    การซ่อมโลกกระกลายเป็นเรื่องหน้าสนใจ...รอยขีดฆ๋า
    ตัดเส้นครบกริบ...เป้นเส้นตรง...เป้นสีน้ำ

    อื่นๆยังไม่นึกไม่ออก ทิ้งท้ายได้โหดร้ายสุด
    อืมมม จริงๆก็ชอบที่ทิ้งวรรคยาวๆไว้ แต่ไม่รู้สิ พอไปอยู่เป็นเล่มมันก็จะรวมอยู่ดี

    แต่น้องตุ๊ดตู่นี่อึ้งทึ่งเสียวมาก...
  • ความคิดเห็นที่ 4

    ธุลี..สีคราม
    • Name : ธุลี..สีคราม < My.iD > [IP] 223.24.91.185
    • 8 มีนาคม 2559 / 15:15
    คิดว่าเข้าใจประเด็นของเรื่องนี้ที่จะสื่อนะครับ

    และโลกของเรื่องนี้ก็คงเป็นโลกที่ใหญ่มากกกกกกก  เพราะแม้จะบอกว่าหนึ่งหน้ากระดาษ แต่คงไม่ใช่แค่นั้น  เพราะงั้น ต้องทำให้โลกชัดขึ้น  ฉากต้องเข้มขึ้น  ไม่งั้นเรื่องนี้จะดูเจือจางไป
    ชัดในที่นี่หมายถึงการบรรยายลักษณะ บรรยาย พื้นหลังของเรื่อง  ขณะเดียวกันก็ต้องลงหนักที่ตัวละครด้วย  (นึกถึงภาพวาดไว้นะครับ ถ้าช่วงไหนฉากขาว ตัวละครต้องเข้ม  ถ้าช่วงไหนฉากดำให้ตัวละครอ่อนลง)

    แนะนำไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

    แต่คิดว่า พอเดาออกถึงสิ่งที่อยากเสนอออกมา 

    สู้  ๆ  ครับ
    เมื่อเราขายไอเดีย เราก็ต้องขายไอเดียต่อนะ 

  • ความคิดเห็นที่ 3

    Hestia
    • Name : Hestia < My.iD > [IP] 171.96.167.29
    • 6 มีนาคม 2559 / 10:27
    เอ็นดูวิชชี่...ทำไมรู้สึกเหมือนนางอาจซวยขึ้นเรื่อยๆ 55

    รอดูรูปวาดน้าาา
  • ความคิดเห็นที่ 2

    bodin Intrararujikul
    • Name : bodin Intrararujikul [IP] 171.96.182.132
    • 5 มีนาคม 2559 / 12:56
    พี่ปัฐนะครับผม ^ ^ เอ๋อๆ อ๋าๆ 555 อ่านเรื่องนี้แล้วมึนๆ เหมือนพระเอกเลยจับต้นชนปลายไม่ถูก 555 (แต่ไม่ได้เป็นไปในความหมายไม่ดีนะครับ คืออินไปกับตัวเอกน่ะครับ ก็เลยมึนๆ งงๆ เหมือนพระเอก ฮา) ไอเดียแปลกใหม่มากเลยครับ โดยส่วนตัวไม่เคยอ่านเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย ^ ^b ก็เลยเป็นอะไรที่น่าติดตามจริงๆ ว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป สำนวนเรียบไปนิด เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ แต่แอบแฝงมุกขำๆ เอาไว้ให้ได้ยิ้มตลอดเลยครับ นะ 555 นี่ พี่ปัฐ นะ ไม่ใช่พี่ ปัฐนะ สินะครับ ฮา ^ ^ รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพระเอกกันแน่ครับ หุหุหุ ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 1

    Amélie
    • Name : Amélie < My.iD > [IP] 2.217.89.132
    • 2 มีนาคม 2559 / 08:28
    ไอเดียยอดจริงๆค่ะ นับถือๆ
    ชอบตอนที่บรรยายถ้วยกาแฟที่สุดเลย
Page 1 of 1 1

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป