EN17 ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
คุณเชื่อเรื่องกามเทพไหม? แล้วถ้ากามเทพนั้นเป็นหนุ่มมาดร็อคสุดอินดี้แบกอาวุธสงคราม คุณยังจะเชื่อไหม? จงลืมทุกกามเทพที่คุณเคยรู้จัก เพราะนี่คือกามเทพพันธุ์พิลึกที่จะมาแจกรักให้กับพวกคุณ!
ภารกิจแจกรักของกามเทพพันธุ์พิลึก
บทนำ
คุณรู้จักเทพแห่งความรักไหม?
“เราเลิกกันเถอะ”
เทพแห่งความรัก หรือที่ทั่วไปรู้จักกันในชื่อ กามเทพ
“เธอดีเกินไป”
เทพที่เป็นดั่งภูติน้อยแห่งความรัก
“เราเป็นเพื่อนกันเถอะนะ”
เทพที่มีเป็นเด็กตัวน้อยๆ น่ารัก มีปีกสีขาวและถือคันศร
“เราไปกันไม่ได้หรอก”
ที่จะคอยแผลงศรใส่เหล่าผู้คนที่มีรักแรกพบ
“เราเข้ากันไม่ได้”
แล้วคุณเชื่อเรื่องกามเทพและรักแรกพบไหม...?
“ไอ้รักแรกพบอะไรนั้นมันไม่มีจริงหรอกเว้ย! กามเทพมันก็แค่ไอ้เด็กน้อยแก่แดดที่วันๆ เอาแต่บินไปบินมาเพื่อแส่เรื่องชาวบ้านและหลอกลวงให้หลงชื่อไอ้เรื่องรักแรกพบงี่เง่าเท่านั้นแหละ...ไอ้กามเทพเฮงซวยยยยยยยยยยยยยยยย!!!”
<><><>
บทที่ 1
กามเทพไม่มีจริงหรอก!
กามเทพ คือ เทพแห่งความรักที่จะคอยแผลงศรใส่คนที่ได้เจอกับรักแรกพบ เพื่อดลบันดาลให้คนรักกัน กามเทพนั้นมีลักษณะเป็นเด็กน้อยผิวขาวผ่อง ผมสีทองเปล่งประกาย มีปีกนกสีขาวอันน้อยๆ อยู่บนหลังและถือคันศรรูปหัวใจ...
นั้นคือบทความส่วนหนึ่งที่ชายหนุ่มก้มอ่านมันจากหน้าจอมือถือของเขา ก่อนจะทิ้งแขนทั้งสองลงข้างตัวอย่างหมดแรงและก้มหน้าลงอย่างหมดอาลัยตายอยากด้วยแววตาที่มืดมนเศร้าหมอง พร้อมกับสายลมเย็นที่พัดแรงจนน่ากลัว นั้นก็เพราตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้กำลังยืนอยู่บนขอบแนวกั้นที่ทำจากปูนขนาดกว้างไม่ถึงหนึ่งฟุตของดาดฟ้าตึกระฟ้าแห่งหนึ่ง
“หึ...” ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ราวกับกำลังเย้ยหยันบางสิ่ง
“กามเทพงั้นเหรอ? รักแรกพบงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มพึมพำเสียงเบาแล้วก็เงียบไปอีกครั้งก่อนจะมีเสียงหัวเราะที่ค่อยๆ ดังขึ้นตามมาไม่หยุด
“หึๆๆๆๆๆ ไอ้เรื่องพรรค์นั้นมันมีจริงที่ไหนกันล่ะเว้ยยยยย!” แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มแหกปากร้องตะโกนใส่ท้องฟ้าเบื้องบนราวกับต้องการให้สิ่งที่สิงสถิตอยู่บนนั้นได้ยินเสียมากกว่า
“กามเทพมันก็แค่ไอ้เด็กน้อยแก่แดดที่วันๆ ดีแต่บินโฉบไปโฉบมาเพื่อแส่เรื่องชาวบ้านแล้วก็หลอกลวงให้หลงเชื่อเรื่องรักแรกพบงี่เง่าเท่านั้นแหละ!”
แล้วคำด่าตัดพ้อสารพัดด้วยความอัดอั้นตันใจที่มีต่อบรรดาเทพแห่งความรักก็หลั่งไหลออกมาราวกับเขื่อนแตกจากชายหนุ่มวัยใกล้เลขสาม สวมแว่นสายตาไร้กรอบที่เข้ากับรูปหน้าและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม ผมสั้นสีดำในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนที่สวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นที่ปลดกระดุมจนหมดกับร่างกายที่ไม่สูง ไม่เตี้ย ไม่อ้วนและไม่ผอมจนเกินไป เรียกว่าโดยรวมก็จัดว่าเป็นชายหนุ่มรูปร่างกับหน้าตาดีพอใช้ทีเดียว
“กามเทพมันก็แค่เรื่องหลอกเด็กที่ทำให้คนหลงมัวเมาไปกับเรื่องรักแรกพบงี่เง่านั้นแหละ กะอีแค่เจอหน้ากันแวบเดียวแล้วตกหลุมรักกันมันจะเป็นไปได้ยังไง ใครเชื่อก็บ้าแล้ว!” ชายหนุ่มยังคงโวยวายไม่หยุด
“อีกอย่างนะ ถ้ากามเทพมีจริงหลังจากทำให้คนรักกันแล้วก็หัดรับผิดชอบทำให้สมหวังกันด้วยสิ!” ชายหนุ่มร้องตะโกนสุดเสียง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างเศร้าหมองอีกครั้ง
“เรานี่ท่าทางจะบ้าที่ไปหวังอะไรกับเรื่องหลอกเด็กพรรค์นี้กัน” เขาตัดพ้ออย่างสมเพชในตัวเอง พลางชำเลืองมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างที่เห็นคนเดินไปมาตัวเล็กราวกับมด
‘เราเลิกกันเถอะ’ ‘เธอดีเกินไป’ ‘เราเข้ากันไม่ได้’ ‘เป็นเพื่อนกันเถอะ’
แล้วความคิดที่ไม่อาจห้ามได้ก็หลั่งไหลเข้ามาให้หัวของเขา ภาพใบหน้าของหญิงสาวแต่ละคนกับประสบการณ์ถูกบอกเลิกมากมายของชายหนุ่ม มันทำให้เขาเจ็บปวดใจจนได้แต่กำมือแน่น
“ถ้าเราตกลงไปมันจะเป็นยังไงนะ...ผู้คนจะแตกตื่นไหมนะ...แล้วจะมีสาวๆ แถวนั้นสักคนเข้ามาดูร่างเรา...เป็นห่วงเรา พยายามช่วยชีวิตเราไหม...นะ” ชายหนุ่มบ่นอย่างเศร้าสร้อยไร้เรี่ยวแรง
“หึ มันก็น่าลองเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างเหม่อลอยกับความหวังลมๆ แล้งๆ นั้น ก่อนจะมีสายลมเย็นพัดมาอีกระลอกจนเขาต้องใช้เท้ามายันพื้นเอาไว้
“บรื๋ออออ หนาวแฮะรีบลงดีกว่า” ชายหนุ่มบ่นขึ้นแล้วกระโดดลงจากขอบกั้นกลับเข้าไปในดาดฟ้า ก่อนจะนั่งเอาหลังพิงกับผนังกั้นที่สูงเกือบเมตรครึ่งเมื่อครุ่เพื่อใช้กันลมไปในตัว แล้วใช้มือถูกแขนไปมาเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ที่ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นยามสายของฤดูร้อนก็ตาม แต่การมายืนตากลมบนยอดตึกระฟ้าแบบนี้ก็ทำให้หนาวได้เหมือนกัน
“เหอะ ไอ้พวกบนสวรรค์คงคิดล่ะสิว่าฉันจะโดดลงไปน่ะ...ไม่สิ คงจะสาปแช่งให้ฉันรีบๆ โดดลงไปซะ ทีนี้ก็คงคิดจะทำเหมือนในนิยายพอฉันตายก็จะให้เกิดใหม่เป็นกามเทพเพื่อสั่งสอนฉันสินะ” ชายหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วตะโกนออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินไหมก็ตาม
“คิดง่ายไปแล้ว ไอ้เรื่องเพ้อเจ้อแบบนั้นมันมีจริงที่ไหนกัน คนอย่างไอ้ยะอ่ะนะแค่โดนผู้หญิงบอกเลิกไม่มีทางเสีย...ใจ...หรอก...เว้ยยยยย” ยะหรือกริชญะร้องตะโกนทั้งน้ำตานองหน้า ผิดกับคำพูดตัวเองเมื่อกี้ลิบลับ
กริชญะก้มลงมองจอมือถือที่เปิดค้างเอาไว้แล้วเลื่อนหาข้อความที่แฟนคนที่ 20 ของเขาส่งมาให้
“หนูว่าหนูคงเข้าไปในโลกเดียวกับพี่ไม่ได้หรอกค่ะ” ข้อความนี้ถูกส่งมาหลังจากที่ทั้งสองไปกินข้าวด้วยกันเมื่อไม่กี่วันก่อน
ไม่รู้ว่าเขาอ่านข้อความนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว แต่ทุกครั้งที่อ่านเขาก็ได้เฝ้าครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกบอกเลิกอย่างนี้ ทั้งที่หลังจากที่เริ่มคบกันได้เมื่ออาทิตย์ก่อนแล้ววันถัดมาเขาก็ชวนเธอไปกินข้าวและเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังแถมท่าทางก็คุยกันถูกคอดีด้วยแท้ๆ แล้วทำไมถึงได้ถูกบอกเลิกได้นั้นตัวเขาเองก็ยังไม่อาจหาคำตอบได้เหมือนกัน
“แค่เราเล่าเรื่องหนังสือที่กำลังเขียนอยู่ให้ฟังชั่วโมงสองชั่วโมงเอง” กริชญะบ่นงึมงำขึ้นอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
ซึ่งจริงๆ แล้วภาพที่ชายหนุ่มเห็นมันเป็นเพียงการคิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น เพราะที่บอกว่าอีกฝ่ายสนุกไปด้วยนั้น เธอก็แค่ยิ้มและพยักหน้ารับไปอย่างนั้น เพราะเธอไม่เข้าใจเรื่องที่กริชญะเล่าเลยสักนิดต่างหาก
“ไอ้ยะนะไอ้ยะ ทำไมแกถึงได้เป็นคนอาภัพรักขนาดนี้นะ” ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจจนได้แต่ร้องตะโกนออกมาอย่างอัดอั้นตันใจเท่านั้น
“ไอ้พวกกามเทพเฮงซวยยยยยยยยย!!!!”
โครมมมมม!!!
“เฮ้ย!”
แล้วทันใดนั้นก็มีวัตถุลึกลับตกลงตรงหน้าเขาอย่างแรงจนฝุ่นผงคละคลุ้ง และเมื่อกริชญะตั้งสติได้ก็จ้องมองไปยังกลุ่มควันฝุ่นนั้นเขาก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจนต้องขยี้ตาอีกครั้ง เพราะสิ่งที่เขาเห็นคือเงาของปีกนกขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มควันนั้น แต่พริบตาต่อมามันก็หายไปราวไม่เคยมีอยู่ด้วยซ้ำ พร้อมๆ กับเสียงร้องโวยวายที่ดังออกมาจากกลุ่มควัน
“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย บินอยู่ดีๆ ก็ร่วงลงมาเฉยเลย”
จนเมื่อกลุ่มควันเริ่มจางลง กริชญะก็ค่อยๆ มองเห็นว่าสิ่งนั้นคือชายหนุ่มผมสีทองเปล่งประกายยาวกำลังดี ผิวขาวผ่องจนราวกับส่องแสงออกมาได้แล้วยิ่งรวมกับโครงหน้าที่หล่อเหลากับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนราวกับท้องฟ้า ทำให้ในความคิดของกริชญะแล้วชายหนุ่มคนนี้จัดอยู่ในระดับที่ต้องเรียกว่าเทพบุตรกลับชาติมาเกิดเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่ติดที่...การแต่งตัวของพี่ท่านมันโคตรร็อคและอินดี้สุดติ่งเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะผมสีทองเปล่งประกายที่ดันไปทำทรงชี้ตั้งขึ้นราวกับเสาโทรเลขหรือเสื้อแจ็คเก็ตหนังและกางเกงหนังยันรองเท้าบูทหนังล้วนเป็นสีดำทั้งสิ้น แถมยังไม่หมดแค่นั้นเพราะตามตัวยังมีเครื่องประดับที่ทำจากเงินแวววาวไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอรูปไม้กางเขน สายโซ่ที่ห้อยตามกระเป๋าเสื้อและกางเกง หัวเข็มขัดรูปหัวกระโหลกใหญ่เท่ากำปั้นแล้วมาจบด้วยบรรดาแหวนเงินรูปต่างๆ ที่เรียงรายอยู่บนนิ้วนั้นทำให้กริชญะถึงกับชะงักค้างไปหลายวินาทีเลยทีเดียว
ชายหนุ่มคนนั้นยืนปัดฝุ่นตามตัวพลางโวยวายอย่างหัวเสีย แถมยังดูท่าทางสบายดีอีกด้วยทั้งที่เพิ่งจะตกลงมาจากที่ไหนก็ไม่รู้อย่างแรงแท้ๆ ซึ่งกริชญะเองก็อดเงยหน้าขึ้นไปมองหาไม่ได้ว่าคนตรงหน้านั้นตกมาจากที่ไหนกันแน่
“นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ในที่สุดกริชญะก็ตัดสินใจถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ใครมันกล้ามาแกล้งกันฟ่ะ อย่าให้รู้ตัวนะพ่อจะเป่าสมองให้กระจุยเลย!” แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเขาหรืออาจจะไม่ได้สนใจเขาเลยมากกว่า
“นี่นาย” กริชญะลองเรียกอีกครั้งแต่ก็ยังเหมือนเดิม ไม่สิอาจจะหนักข้อกว่าเดิมก็ได้ เพราะตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สนใจเขา แต่เหมือนว่าจะไม่รับรู้เลยด้วยว่ามีเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
และแม้ว่ากริชญะจะยังพยายามใจเย็นแล้วแล้วเรียกไปอีกหลายครั้งแต่ผลก็ยังเหมือนเดิม จนเขาเหลืออดร้องตะคอกออกไป
“เฮ้ย! ไอ้หูหนวก!”
“โอยยยย น่ารำคาญจริงถ้าแกจะเรียกเพื่อนแกก็เดินไปเรียกใกล้ๆ ดิ มาตะโกนข้ามหัวกันอยู่ได้!” และครั้งนี้ก็ได้ผลเสียด้วย เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมาตอบเสียงดังอย่างโมโหแม้ว่าคำพูดจะฟังดูแปลกๆ ก็ตามที
แต่เป็นฝั่งหนุ่มมาดร็อคที่ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่ารอบๆ นั้นไม่มีใครอื่นนอกพวกเขาทั้งสองทำให้รู้ได้ว่าคนที่กริชญะกำลังพูดด้วยคือตัวเอง
หนุ่มมาดร็อคมองซ้ายมองขวาอย่างงงๆ ก่อนจะหันมาจ้องกริชญะตาค้างแล้วชี้นิ้วมาทีหน้าตัวเองเป็นเชิงถามว่า ‘เมื่อกี้นายพูดกับฉันเหรอ?’ ซึ่งกริชญะเองก็พยักหน้ากลับไปอย่างแรงเพื่อยืนยันคำตอบ
“นี่นายมองเห็นฉันด้วยเหรอ?” หนุ่มมาดร็อคถามคำถามแปลกๆ ออกมา
“ห๊ะ?” กริชญะอุทานออกมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างมึนงงเช่นกัน
“ทำไมจะมองไม่เห็...”
ติ๊ดๆๆๆๆๆๆ แต่เขายังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำก็มีเสียงอะไรบางอย่างดังขัดจังหวะเสียก่อน
พร้อมกับที่หนุ่มมาดร็อครีบล้วงเอาบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งพอมองดีๆ กริชญะก็เห็นว่ามันคือโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขนาดเท่ากับฝ่ามือที่ตอนนี้บนหน้าจอกำลังแสดงรูปหัวใจสีแดงกำลังกระพริบถี่ยิบพร้อมเสียงสัญญาณเตือนดังไม่ได้หยุด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพของชายหนุ่มร่างท้วมกับรายละเอียดมากมายและตัวเลขใต้ภาพที่ยังหมุนติ้ว
จนกระทั่งตัวเลขนั้นหยุดอยู่ที่ 1414 แล้วกริชญะก็ต้องตกตะลึงจนตาค้างเมื่อจู่ๆ ก็มีละอองเสียงสีขาวพวยพุ่งจากสมาร์ทโฟนเครื่องนั้น ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวกันอยู่ตรงหน้าของหนุ่มมาดร็อคจนเกิดเป็นปืนไรเฟิลกระบอกใหญ่สีดำด้านที่ตัวปืนยาวกว่าหนึ่งเมตรพร้อมกับกล้องส่อง ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องปืนมากนักแต่ไอ้กระกระบอกนี้มันเหมือนกับปืนที่พวกทหารใช้ในหนังสงครามที่เขาชอบดูไม่มีผิด
“ดีนะที่ได้ถึงระดับนี้จะได้ไม่ต้องบินลงไปให้เสียเวลา” หนุ่มมาดร็อคเปรยแล้วคว้าปืนนั้นเอาไว้ท่ามกลางสายตาตกตะลึงไม่หายของเขาแถมท่าทางแล้วคนตรงหน้าจะลืมไปแล้วว่ามีเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วย
แล้วหนุ่มมาดร็อคก็ทำในสิ่งที่กริชญะต้องตื่นตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนตรงหน้าเดินแบกปืนพาดไหล่อย่างเท่ด้วยท่าทางแบบพวกทหารมือเก๋า ก่อนจะประทับเล็งปืนเข้าขอบดาดฟ้าด้านเดียวกับที่กริชญะยืนอยู่พร้อมกับแนบตาเข้ากับกล้องส่องมองลงไปเบื้องล่าง
เพียงเท่านั้นต่อให้ไม่ต้องเดากริชญะก็รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร เขารีบกระโจนไปเกาะขอบกั้นแล้วมองลงไปด้านล่างทันที แต่ก็ต้องสบถออกมาอย่างหัวเสีย เพราะบนนี้สูงเกินไปจนมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่เขาก็รู้ดีว่าคนๆ นี้ต้องกำลังคิดจะยิงใครสักคนข้างล่างนั้นแน่ๆ
กริชญะถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงสิ่งที่ชายคนนี้กำลังจะทำ แต่ถึงเขาจะกลัวและยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกก็ตาม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำมีแค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ...
‘ต้องหยุดชายคนนี้ไว้ให้ได้!’
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาหนุ่มมาดร็อคเพื่อหวังจะผลักปืนให้หันไปทางอื่นก็ยังดี แต่ดูเหมือนสิ่งที่เขาคิดจะทำนั้นคงจะสายไปเสีย เพราะวินาทีเดียวกับที่เขาพุ่งตัวออกไปนั้นนิ้วของชายตรงหน้าก็เลื่อนเข้าใกล้โก่งปืนเตรียมลั่นไกแล้วเช่นกัน
“หยุดนะ!!!!!!!!!!!!!!!!”
ปัง!!!!!!
<><><>
ผู้แต่ง : เทียนหลง
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | กามเทพไม่มีจริงหรอก! | 14 ก.พ. 59 |
2 | กามเทพแบบนี้ก็มีด้วย? | 08 มี.ค. 59 |
3 | นี่เหรอการแผลงศรแห่งศตวรรษที่ 21 | 16 มี.ค. 59 |
4 | สังคมกามเทพนั้นอยู่ยากขึ้นทุกวัน | 23 มี.ค. 59 |
5 | บริการหลังการขายกับเหยื่อรายแรก | 30 มี.ค. 59 |
บทนี้อธิบายเกี่ยวกับระบบของนิยายเรื่องนี้ โผล่มาในจังหวะที่เหมาะสมแล้วคับ
คอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้ อยากจะฝากในจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด
นั่นคือสำนวนการเขียนคับ
(ปล. พยายามโพสต์คอมเมนท์เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ไม่ผ่าน คงเพราะยาวไป T T
พยายามตัดแล้วตัดอีกก็ยังไม่ผ่านครับ เพราะงั้นคงต้องตัดทิ้งไปเยอะ
อย่างไร ถ้ามีโอกาสจะส่งเวอร์ชั่นเต็มให้ทางหลังไมค์นะครับ)
ข้อดีของสำนวนการเขียนเรื่องนี้คืออารมณ์ขันนะคับ
แต่จุดบกพร่องคืออ่านแล้วให้ความรู้สึกเยิ่นเย้อ
แต่จะว่าไป ถ้าบก.แก้สำนวนนักเขียนคนไหนด้วย 'ความรู้สึก'
สุดท้ายงานทุกงานก็จะกลายเป็นสำนวนบก.คนนั้นไปหมดจริงมั้ยครับ
ดังนั้นจะยกหลักการมาให้ดูประกอบนะครับ ว่าเรื่องนี้สำนวนบกพร่องตรงไหนบ้าง:
[ใช้คำซ้ำ/ ใช้ประโยคซ้อนประโยคโดยไม่จำเป็น]
- กริชญะที่ฟังเหตุผลที่ดูไร้สาระแต่กลับฟังขึ้นชอบกลจนได้หัวเราะแห้งๆกลับไป
- ลองตัดคำซ้ำ(ที่)ออกไปนะครับ และพอลองแตกประโยคให้เป็นประโยคเดี่ยว จะเห็นว่าอ่านง่ายขึ้น
- แก้เป็น: เหตุผลนี้ดูไร้สาระ แต่กลับฟังขึ้นชอบกล กริชญะได้แต่หัวเราะแห้งๆกลับไป
[ใช้คำซ้ำ(คำว่า 'ทำไม')]
- ถ้านายหวงรถขนาดนี้แล้วทำไมตอนเจอกันทำไมนายถึงตกมาจากฟ้า
[จัดย่อหน้าไม่ถูกต้อง ทำให้สับสนว่าใครเป็นผู้พูด]
- "ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้ากันเนี่ย?" กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ --->ตรงนี้คำพูดเรนัส แต่พอพูดจบดันเอากริชญะตามหลัง ทำให้เข้าใจว่ากริชญะเป็นคนพูด
- แก้โดยการจัดย่อหน้าใหม่:
"ก็ตอนนั้นฉันเพิ่งบินข้ามอ่าวไทยมา นายจะให้ฉันขี่ลูกรักฝ่าน้ำทะเลมาหรือไง นายโง่หรือบ้านกันเนี่ย?"
กริชญะได้แต่หลับตาอย่างอดกลั้นที่โดนอีกฝ่ายหลอกด่าอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาต้องพึ่งพาเรนัสทำให้เถียงอะไรไม่ได้ "แต่อย่างนี้ก็สบายเลยล่ะสิ อยากได้อะไรก็เสกออกมาได้ถึงจะไม่ใช่ผู้วิเศษแต่แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว" กริชญะพูดต่อ
แต่เรนัสที่ได้ยินกลับส่ายหน้าช้าๆ...
[ใช้คำผิดความหมาย]
- แก้เป็น: ครางในลำคอ
ปล.ต้องขออภัยนะครับ หากคอมเมนท์ละเอียดไป แต่หวังจากใจเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวนักเขียนเองไม่มากก็น้อย > <
ดาวิษ ชาญชัยวานิช