EN16 Kingdom Botanica อาณาจักรพฤกษา

พอลตัดสินใจเรียนต่อที่ศูนย์วิจัยพฤกษศาสตร์หลังจากเห็นต้นกุหลาบของตัวเองหนีออกจากบ้านในคืนหนึ่ง เมื่อต้นไม้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว! เมื่อมันไม่แยแสมนุษย์และสัตว์! โลกจะเป็นเช่นไรเมื่อห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย!?

ผู้แต่ง

Esta Em Maho

0%

ตอนที่ 1/5 : บ๊ายบาย เลโอน่า

บทนำ

 

ผมไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ทำไม 

เด็กหนุ่มอายุ 18 ปีอย่างผม ควรแล้วหรือที่มายืนอยู่ตรงนี้...

ผมยืนนิ่งงันไม่สามารถขยับเขยื้อนไปจากภาพสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตรงหน้าได้

ความสูงใหญ่ของมันสะกดร่างให้หยุดนิ่ง

กิ่งก้านสีเข้มทะมึนที่แผ่ครึ้ม สะกดความตื่นกลัวให้หยุดสั่นไหว

รากยักษ์เหนือพื้นดินกำลังขยับเขยื้อน แทบสะกดหัวใจให้หยุดเต้น

ผมได้แต่นิ่งงัน ลมหายใจขาดห้วง

ผมเคยได้ยินเรื่องบรรดาต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกมาบ้าง 

พวกมันมีความสูงกว่า 400 ฟุต หรือความสูงที่มากกว่า 100 เมตร

มีลำต้นที่หนากว่า 40 เมตร

แต่นี่มันต่างออกไปอย่างเทียบไม่ได้...

 

 กิ่งมหึมาร่วงลงพื้น ส่งเสียงกัมปนาทสนั่นไปทั่วบริเวณ

แสงวาววับสะท้อนจากใบมีดดาบใบกว้างของมาร์ซิต้า หัวหน้าหน่วยจู่โจมที่ 1

เธอพุ่งทะยานขึ้นไปตามแนวลำต้นอสูรยักษ์ สายตาดุดันราวอุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งสงคราม

หน่วยจู่โจมที่ 1 ที่เหลือกระโจนพุ่งเข้าหารากอสูร ก่อนจะทะยานดีดตัวขึ้นสู่ลำต้นสูงดั่งหินผาเหล่านั้น

โรซิน่า และเวียนนา ทะยานผ่านกิ่งยักษ์ไปสู่อีกกิ่งตามหลังมาร์ซิต้าไป

พวกเธอกระโจนหลบหลีกท่อนไม้ขนาดมหึมาที่ขยับฟาดฟัน 

เสียงแหวกอากาศสะท้านความรู้สึกไปทั่วสรรพางค์กาย 

จิตใต้สำนึกของผมตื่นรู้ในทันใด ว่าไม่อาจเอาชนะอสุรกายพฤกษาเหล่านี้ได้เลย

 

องครักษ์อสูร หรือ บรรดาทหารต้นไม้ขนาดยักษ์เริ่มขยับรากหนาเคลื่อนเข้ามารุมล้อม 

อสูรพฤกษาเหล่านี้หวังไล่ขยี้สิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อยที่สูงไม่พ้นสองเมตร

ไปซะทีสิ พอล !

เสียงของ ไพธ์ พี่สาวฝาแฝดตะโกนบอกขณะพุ่งข้ามผ่านเหนือหัวผมไป

จริงสินะ

ผมได้สติมองไปรอบๆ 

สมาชิกในทีมเหลือผมที่รั้งท้าย 

ทั้งเอซร่าที่ตอนนี้เข้าไปถึงชายป่า

แอชลีย์ และไคกำลังวิ่งหลบกิ่งยักษ์ที่ถูกฟันขาดร่วงกระแทกพื้นอยู่เบื้องหน้า

ลูน่าพุ่งเข้ามาฉุดลากผมให้ออกวิ่ง ก่อนกระโจนเหยียบรากยักษ์ที่พุ่งเข้ามาขวาง ดีดตัวทะยานข้ามไป

 

ตอนนี้พวกเราอยู่ในภารกิจ E.L.F 162

พวกเขาตัดสินใจขนามนามพวกเราว่า ‘เอลฟ์

เพราะพวกเราคือหน่วยปฏิบัติการที่มีภารกิจแฝงตัวเข้าไปในอาณาจักรพฤกษา โบทานิก้า

นอกจากพวกเราไม่มีใครอีกแล้วที่จะเข้าใกล้อาณาจักรของต้นไม้อสูรเหล่านี้ได้

ต้นไม้พวกนี้มีชีวิต...

ผมหมายถึง มีชีวิตจริงๆ 

แตกต่างจากต้นไม้ในอดีตที่ถูกมองข้ามในฐานะสิ่งมีชีวิต เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ที่เคลื่อนไหวได้...

แต่วันนี้พวกมันเดินได้

และมากกว่าแค่เคลื่อนไหวได้

พวกมันปฏิเสธมนุษย์ด้วยความดุร้ายอย่างสาหัสสากรรจ์

พวกมันกลายพันธุ์และไม่ใยดีระบบห่วงโซ่อาหาร

พวกมันก่อกำเนิดอาณาจักรป่าไม้ขึ้น อาณาจักรที่มีเฉพาะพืช

และมีแค่พวกมันเอง!

ยิ่งไปกว่าสิ่งใด ณ เวลานี้ พวกมันคืออสุรกายที่มีพลังชีวิตเข้มแข็งที่สุดในโลก!

 

ต้นไม้ในอดีตเคลื่อนไหวไม่ได้...

มันไม่โต้ตอบ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายใดๆ จากมนุษย์หรือภัยธรรมชาติ

ถึงกระนั้นต้นไม้ใหญ่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังชีวิตมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง

ต่อให้เราโค่นมันจนเหลือแค่ตอ มันก็อาจฟื้นตัวได้อย่างดีเมื่อได้ฝน

แม้กระทั่งการวางยาก็ยังต้องใช้ระยะเวลา

สิ่งที่ทำให้พวกมันตายอย่างเด็ดขาดคงมีแค่การถูกโค่นลงทั้งราก

แต่พืชยักษ์เบื้องหน้าพวกเราเหล่านี้ไม่สนใจการเอารากยึดเหนี่ยวอยู่ใต้ดิน...

มีด้วยหรือ!? วิธีที่จะปราบอสุรกายพฤกษาเหล่านี้??

 

และนี่คือการปฏิบัติงานครั้งแรกของเอลฟ์รุ่นที่

ผมไม่แน่ใจว่าตกอยู่ในวงล้อมของสิ่งมีชีวิตที่สูงระดับต้นไม้สูงที่สุดของโลกในอดีต หรือมากกว่านั้น...

ความสูงมหึมาของปีศาจต้นไม้เหล่านี้ 

สิ่งมีชีวิตที่เปรียบดั่งไรฝุ่นอย่างผมไม่อาจประเมินออกมาเป็นตัวเลขได้ด้วยสายตา

ต่อหน้าอสุรกายคลุ้มคลั่ง ร่างยักษ์ดั่งภูผา

นี่มันควรแล้วหรือ!? ที่ผมเลือกชีวิตแบบนี้!!

 

บทที่ 1 บ๊ายบาย เลโอน่า


           ณ บ้านไม้สองชั้นขนาดกะทัดรัดมีสวนเล็กๆ ล้อมรอบในย่านรองค์วู้ด ชานเมืองวุร์สเตอร์ ประเทศอังกฤษ ภายในห้องครัวที่คับแคบไปด้วยเคาน์เตอร์และเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอบอุ่น มีตู้ลอยเก็บจานชามที่ทำจากเนื้อไม้สีอ่อน เหนือบรรดาเคาน์เตอร์ตั้งพื้นสีน้ำตาลวอลนัตมีอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ วางระเกะระกะจนแทบไม่เหลือพื้นที่ใช้สอยมากนัก บนเคาน์เตอร์มุมห้องมีโทรทัศน์รุ่นเก่าขนาดเล็กตั้งอยู่  เมื่อมองลอดผ่านหน้าต่างเหนืออ่างล้างจานเพียงบานเดียวในห้องครัว จะสามารถมองเห็นต้นแอปเปิลสองต้นที่ปลูกไว้ในสวนได้อย่างพอดี

 

               โทรทัศน์เครื่องเล็กกำลังรายงานข่าวท้องถิ่นในเช้าวันจันทร์ เสียงแหลมเล็กแหวกอากาศดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของห้อง เครื่องปิ้งขนมปังร้องบอกว่าขนมปังร้อนกรุ่นพร้อมแล้วสองแผ่น

 

               เด็กชายเจ้าของพวงแก้มกลม ผมสีบลอนด์เดินเข้ามาในห้องครัว เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเข้ากับเดือนมิถุนายน ต้นฤดูร้อนของอังกฤษ เขาพาดกระเป๋าเป้สะพายหลังที่เสาพนักพิงฝั่งหนึ่งของเก้าอี้ไม้ เดินอ้อมโต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางห้องไปคีบหยิบขนมปังปิ้งสองแผ่นใส่จาน สองนิ้วที่ใช้คีบเมื่อครู่กำลังสะบัดไล่ความรู้สึกร้อน ในขณะที่สายตากลับจับจ้องอยู่กับการรายงานข่าวจากเจ้าโทรทัศน์เครื่องเล็กจิ๋ว

 

               เสียงจากโทรทัศน์กำลังรายงานข่าวท้องถิ่นเกี่ยวกับคดีพิศวงที่เกิดขึ้นติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา

               "เรามาฟังความเห็นของ เอ็ดการ์ ท็อด หนึ่งในผู้เสียหายกันค่ะ"

               "ผมไม่รู้ว่ามันจะเอาไปทำอะไร นี่มันยียวนกวนประสาทกันชัดๆ ผมเดาว่าคงเป็นไอ้พวกเด็กวัยรุ่นนิสัยเสีย อยากให้ตำรวจเอาตัวพวกมันมาสั่งสอนสักทีเหอะ"

 

               หญิงวัยกลางคนรวบผมหางม้าสีน้ำตาลอ่อน ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้น และกางเกงผ้าสบายๆ เดินเข้ามาในห้องครัว

               "แม่ดูนี่สิ ลุงเอ็ดการ์ก็โดนเหมือนกัน" เด็กชายชี้มือไปที่โทรทัศน์ แต่ตาและมือพะวงอยู่กับการละเลงเนยถั่วไปทั่วแผ่นขนมปังปิ้ง

               "ใครนะ?"
              "ลุงเอ็ดการ์ เจ้าของอู่ซ่อมรถไง"

               "ทำไมล่ะ?" ผู้เป็นแม่ถามอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ เธอกางหนังสือพิมพ์รายวันกลางโต๊ะอาหาร เด็กชายยัดแซนด์วิชขนมปังปิ้งไส้เนยถั่วเข้าปากไม่ตอบอะไร

               "โจรขโมยต้นไม้? นี่มันอะไรกันเนี่ย??" เธอขมวดคิ้วใส่หนังสือพิมพ์ เด็กชายชะโงกหน้าดูกรอบคอลัมน์ข่าวที่สายตามารดาจับจ้อง

               "แถวบ้านเราก็มีคนโดนเยอะแยะเลย แม่ฮะ ดูสิ ป้าไดอาน่าโดนขโมยพุ่มกุหลาบล่ะ" เด็กชายยัดคำสุดท้ายเข้าปากพลางหันไปมองการรายงานข่าวท้องถิ่นแบบลงพื้นที่

               "บ้าน่า ขโมยอะไรกัน มันน่าจะเป็นโดนตัด หรือโดนทำลายอะไรแบบนั้นสิ??" 

               "แต่มันหายไปหมดเลยนะฮะ ทั้งรากด้วย" เด็กชายชวนให้ดูภาพที่ปรากฏบนจอ มันเป็นภาพของหลุมดินที่สภาพชวนคิดว่าพุ่มกุหลายถูกขุดนำออกไปทั้งต้น ขณะที่ทั้งสองกำลังงุนงงกับข่าวที่ถูกนำเสนอ เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็ดังขึ้น

               "ไปได้แล้วพอล วิลเลี่ยมมาแล้ว นั่นอะไรน่ะ หยุดกินได้แล้ว" ผู้เป็นมารดาเอ็ดลูกชายหุ่นเจ้าเนื้อที่ยังง่วนอยู่กับการล้วงผลเบอร์รีป่าในโหลแก้ว เด็กชายคว้าสตรอว์เบอร์รีป่าอีกกำมือ ก่อนคว้ากระเป๋าสะพาย รีบวิ่งออกประตูบ้านไป

 

               "วิล นายได้ดูทีวีหรือเปล่า ข่าวว่ามีโจรขโมยต้นไม้ออกอาละวาดแน่ะ" พอลเดินคู่กับเด็กชายวิลเลี่ยม เพื่อนร่วมชั้นประถมหกรูปร่างผอมสูงผู้ไว้ผมสั้นเกรียนระหว่างทางไปโรงเรียน เขาชวนคุยเกี่ยวกับข่าวเมื่อเช้านี้ แต่ตัวเองก็ยังง่วนอยู่กับการกินสตรอว์เบอรี

               "ดูสิ นายรู้ไหมว่าบ้านลูกพี่ลูกน้องฉันถูกขโมยต้นยูด้วย สุดยอดไปเลยเนอะ"

               "โห ต้นยูถูกขโมยเหรอ สุดยอดเลย" พอลผิวปาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ต้นไม้ถูกขโมยทั้งต้น! แถมยังเป็นไม้ยืนต้นเสียด้วย!

               "พอล นายว่าพวกหัวขโมยจะเอาต้นไม้ไปทำอะไร?"
               "พวกเด็กโตแกล้งกวนประสาทหรือเปล่า ลุงเอ็ดการ์ เจ้าของอู่ซ่อมรถที่ถนนเมดเวย์ แกคิดว่างั้นแน่ะ" พอลตอบจากที่ดูข่าวสัมภาษณ์มาเมื่อเช้า
               "จะใช่เหรอ บ้านญาติฉันอยู่อีกเมืองเลยนะ หัวขโมยน่าจะเป็นแก๊งเดียวกัน...แต่นั่นมันก็ไกลกันมากอยู่"

               "ไม่รู้สิ เอ...บางที หรือว่าพวกหัวขโมยจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ติ๊งต๊องที่ทำการทดลองลับๆ อะไรอยู่ พวกนั้นอาจจะเอาไปวิจัยเกี่ยวกับพืชอะไรแบบนั้น"

               "บ้าไปแล้ว พอล! ต้นยูไม่ได้หายากสักหน่อย แล้วมันจำเป็นต้องใช้ทั้งต้นเลยรึไง"

               "ก็ใช่น่ะสิ ใครจะขโมยต้นยูไปขายกัน แล้วฉันก็ไม่คิดว่าการขโมยต้นยูไปอวดเพื่อนจะเจ๋งเท่าไร การกระทำบ้าๆ บอๆ มันก็ดูเข้ากันดีกับคำว่านักวิทยาศาสตร์ติ๊งต๊องนี่นา" 
               "ก็อาจจะจริงแฮะ" วิลเลี่ยมพยักหน้ายอมรับอย่างเสียไม่ได้
               "ช่าย แล้วพวกนั้นก็เลยไม่มาขอไง เพราะรู้ว่าคงไม่มีใครให้ต้นไม้ทั้งต้นหรอก เลยต้องขโมย" 
               "แต่จริงๆ ปลูกเอาก็ได้นะ หรือไม่ก็ตัด... เอ๊ะ หรือว่าต้องใช้ทั้งต้นแบบมีชีวิต?" 
               "แล้วก็คงอยากได้แบบเร่งด่วน" พอลเสริมต่อจากวิลเลี่ยม

 

               วันนั้นทั้งวันพอลกับวิลเลี่ยมช่วยกันสมมติความน่าจะเป็นว่า ต้นไม้ที่หายไปจะถูกนำไปทำอะไร แน่นอนว่าพอลและวิลเลี่ยมไม่ใช่นักเรียนที่ดีนัก แม้พวกเขาจะไม่ใช่เด็กเกเร พวกเขาเหมือนเด็กประถมหกทั่วๆ ไปที่แอบคุยกันระหว่างเรียน และแอบเขียนจดหมายส่งหากันบ้างตอนที่ครูหันหลังให้

 

               พวกเขายังคงถกเถียงกันต่อหลังเลิกเรียนระหว่างเดินกลับบ้านกันสองคน อันที่จริงเมื่อตอนพักกลางวันเพื่อนๆ ในห้องของเขาเข้ามาเสนอความเห็นหลังจากได้ยินพอลกับวิลเลี่ยมคุยกัน 

               ปีเตอร์เข้ามาเสนอความคิดเห็นว่าน่าจะเป็นการทดลองสร้างมนุษย์ดัดแปลง 

               มนุษย์กับต้นไม้เนี่ยนะ มันอาจจะฟังดูเข้าท่าถ้าคุณมีมือและแขนเป็นแส้หนามของกุหลาบ แต่พอลกับวิลเลี่ยมคิดว่าไร้สาระเกินไปถ้าจะมีความสูง หรือผิวแข็งแบบเปลือกไม้ของต้นยู ถ้าจะเสริมความคงทนของผิวหนังจริงๆ ทำไมต้องต้นไม้? อย่างน้อยๆ เหล็กน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

 

               'เพราะเหล็กไม่ใช่สิ่งมีชีวิตไง มันต้องเป็นการทดลองที่รวมร่างสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกัน คนกับต้นไม้ไง'

พอลกับวิลเลี่ยมคิดเหมือนกันคือ ปีเตอร์บ้าการ์ตูนฮีโร่มากไปหน่อย พวกเขาไม่เห็นด้วยกับสมมติฐานข้อนี้ เพราะถ้าต้องการความแข็งแรง การใส่ชุดเกราะป้องกันเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่าเยอะ

 

               เจนนิเฟอร์บอกว่าเป็นการทดลองเพื่อความงาม โดยมีเหตุผลยึดติดอยู่เรื่องเดียวคือ 

               'กุหลาบต้องเป็นเรื่องของความงามและโรแมนติกอยู่แล้ว'

               พอลไม่ได้เบื่อพวกเด็กผู้หญิงเหมือนที่วิลเลี่ยมเบื่อจนไม่อยากพูดคุยด้วย แต่พอลรู้สึกว่าความคิดของเด็กผู้หญิงช่างไร้สาระ เขาชอบฟังผู้หญิงที่โตแล้วพูดมากกว่า ไม่มีเด็กผู้หญิงชั้นประถมหกคนไหนน่าสนใจในสายตาพวกเขา เพราะพวกเขาคือเด็กผู้ชายที่มีความคิด ความสนใจต่างจากเด็กผู้หญิงเหล่านั้นนั่นเอง

               แต่พอลก็เคยมีเพื่อนผู้หญิงที่เล่นด้วยกันบ่อยๆ พอลคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง เธอพร้อมจะสนใจและเล่นสนุกไปกับเขา โดยไม่มองว่า 'พวกเด็กผู้ชายน่ะบ้า' แบบที่เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คิด แต่เธอก็ย้ายบ้านไปนานแล้ว

               และผู้หญิงอีกคนที่พอลมักจะเงียบฟัง แน่นอนว่าไม่ได้กำลังหมายถึงแม่ ผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวฝาแฝดของเขา เธอชื่อไพธ์ 
               พ่อกับแม่ของพอลหย่ากันเมื่อสามปีก่อน พ่อและไพธ์ย้ายไปอยู่ที่เมืองเบอร์มิ่งแฮม เธอเป็นเด็กหญิงที่มีความคิดฉลาดหลักแหลมเกินตัว บางทีอาจจะเป็นเพราะติดนิสัยช่างคิดช่างสังเกตมาจากพ่อที่เป็นนักวิจัยก็เป็นได้

 

               ระหว่างทางพอลกับวิลเลี่ยมเดินผ่านร้านขายผ้าของคุณนายสมิธ เธอกำลังคร่ำครวญเสียใจที่สูญเสียต้นไม้บนหน้าหลุมศพสามีที่เสียไป ซึ่งเธอตั้งใจปลูกมันไว้เพื่อรำลึกถึงสามีที่เธอรัก

               อาจเพราะเห็นภาพของคุณนายสมิธคร่ำครวญถึงสิ่งสำคัญก็เป็นได้ พอลจึงรีบขอตัวกลับบ้านก่อน ทั้งที่นัดจะไปเล่นที่ฐานทัพลับในป่าเพอร์รี่ใกล้ๆ นี้

 

               "กุหลาบผมล่ะฮะ" พอลกลับมาถึงบ้านยังไม่ทันถอดกระเป๋า ก็รีบถามหาต้นกุหลาบต้นน้อยที่เขาเคยอ้อนวอนขอคุณนายสมิธมาเลี้ยงกับแม่

               ผู้เป็นแม่มีสีหน้าแปลกใจ

               "อะไรกัน ปกติลูกไม่ดูดำดูดีมันนี่ นึกอยากจะเลี้ยงเองบ้างหรือไง ทั้งที่แม่ดูแลให้มาตลอด"

               "อยู่ไหนฮะ" เด็กชายเร่งเร้ามารดาอีกหน

               "ระเบียงหลังบ้านจ้ะ"

               เด็กชายรีบไปดูที่ระเบียงหลังบ้านทันที

 

               เขาไม่เคยดูแลมันเลยนอกจากสองสัปดาห์แรกที่เขากำลังเห่อหลังจากได้มันมาใหม่ๆ มันแตกต่างไปจากวันแรก วันที่เขารู้สึกว่าการมีต้นกุหลาบไว้ในครอบครองมันเจ๋งดี เลยไปออดอ้อนกับคุณนายสมิธ โดยให้สัญญาว่าจะไม่ทำมันตายเด็ดขาด

               มันมีดอกเล็กๆ ไม่ค่อยสวยนักหนึ่งดอก ต่อให้เด็กอนุบาล ก็บอกได้ไม่ยากว่านี่เป็นต้นกุหลาบอ่อนแอ ดูขี้โรค แม่ของเขายังไม่ได้ย้ายมันลงดินในสวนอย่างที่ควรจะเป็น มันจึงดูเหมือนต้นกุหลาบง่อยๆ ในกระถางคับแคบ บ่งบอกถึงการดูแลแบบขอไปที ไม่ใช่วิสัยของพวกรักต้นไม้เท่าใดนัก

 

               พอลตัดสินใจยกกระถางต้นกุหลาบที่หนักอึ้งเพราะดินในกระถาง เขาค่อยๆ แอบลัดเลาะยกขึ้นบันไดไม่ให้แม่รู้ แม่ต้องดุเขาแน่ๆ ที่เขาจะเอาต้นกุหลาบไปไว้ในห้องนอนตัวเอง

 

               เขายอมรับไม่ได้ หากว่าเลโอน่าจะถูกขโมยไปเฉกเช่น ต้นไม้ของบ้านอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ ถึงเขาจะไม่ได้ดูแลมอบความรักให้มันเท่าใดก็ตาม แต่มันก็เป็นของๆ เขา และเขาจะไม่ยอมยกให้ใครแน่ๆ 

 

               เลโอน่า คือชื่อที่เขาตั้งให้กับมัน 

               ประการแรก ต้นกุหลาบและดอกไม้นั้นให้ความรู้สึกแบบหญิงสาว ดังนั้นมันจึงควรเป็นชื่อผู้หญิง 

               ประการที่สอง ตอนที่เขาเห็นมันที่บ้านคุณนายสมิธ ดอกของมันมีขนาดที่ใหญ่กว่าดอกไม้จากกระถางอื่นๆ ที่วางอยู่ด้วยกัน ดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่เบ่งบานอวดความงามแบบฉบับสีแดงเข้มสุดลึกล้ำ 

               ตอนที่เขาเห็นมันครั้งแรก มันให้ความรู้สึกเหมือนเวลาที่คุณเจอลูกสุนัขมีแวว คุณจะรู้สึกว่า นี่แหละ สุนัขชั้นดีที่จะเหนือกว่าสุนัขเลี้ยงของใครๆ 

               และสำหรับพอล เลโอน่าช่างดูเป็นว่าที่นางพญาอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงตั้งชื่อมันว่า เลโอน่า ที่หมายถึงนางราชสีห์ แต่เขาก็ไม่เคยบอกใครเรื่องชื่อนี้ เพราะกลัวจะถูกหัวเราะเยาะที่ตั้งชื่อให้ต้นไม้ ไม่ว่าจะกับไพธ์หรือวิลเลี่ยม

 

               พอลรีบลงมาเก็บกวาดเศษดินที่ร่วงหล่นจากก้นกระถางตามทางเดิน เขาคอยชะเง้อดูว่าแม่จะเข้ามาเห็นหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็เข้าครัวมากินของว่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

               "เป็นไง ต้นไม้ของลูก" แม่ของพอลกำลังนั่งอ่านเอกสารสำนวนคดีความจากงานนักกฎหมาย เธอเงยหน้าจากเอกสารถามลูกชาย

               "ก็ดีฮะ" พอลตอบไม่สบตา ก้มหน้าก้มตาทาแยมส้มที่ขนมปัง

               "รดน้ำรึยัง?"

               "แม่ยังไม่รดเหรอฮะ?" พอลถามขณะที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่เต็มปาก

               "เดี๋ยวผมจัดการเอง" พอลรีบพูดขึ้นมา เพราะกลัวว่าแม่จะไปดูแลมัน และพบว่ามันหายไป

               "เอ้อ แล้วผมจะรดน้ำในสวนให้ด้วย" พอลรีบว่าต่อ เพราะนึกขึ้นได้ว่าคงอีกพักใหญ่ที่เขาจะเก็บเลโอน่าไว้บนห้องนอนตัวเอง อย่างน้อยก็ผ่านช่วงโจรขโมยต้นไม้ไปก่อน ดังนั้นเขาจะให้แม่รู้ก่อนไม่ได้ว่ากุหลาบไม่อยู่ที่เดิม เขาไม่มีตัวเลือก เขาต้องรับหน้าที่ดูแลสวนไปก่อน 

               ผู้เป็นมารดาเลิกคิ้ว ดูฉงน กับท่าทีเด็กดีของลูกชาย

               "วันนี้ไม่ไปเล่นกับวิลเลี่ยมเหรอ?" เธอเปลี่ยนเรื่องถาม

               พอลยักไหล่ขณะที่ถือคำสุดท้ายก่อนยัดเข้าปาก

               "ผมหิวฮะ"

               ผู้เป็นแม่ขำลูกชายจอมตะกละ เธอเอื้อมมือมายีหัวลูกชายที่เคี้ยวแก้มตุ่ยอยู่เต็มปากอย่างเอ็นดู

 

               เด็กชายร่างท้วมยืนติดกระดุมชุดนอนเม็ดสุดท้าย พลางมองไปที่ริมหน้าต่างห้องนอน ถึงนี่จะต้นฤดูร้อน แต่คนเจ้าเนื้อขี้ร้อนเช่นเขาก็เลือกที่จะเปิดหน้างต่างรับลมเข้ามา ส่วนต้นกุหลาบของเขาก็วางตั้งอยู่ที่พื้นริมหน้าต่างบานนั้นเอง

 

               คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย แสงจันทร์ส่องสว่างผ่านเข้ามาถึงยอดต้นกุหลาบและพื้นห้องนอน ลมต้นฤดูร้อนพัดผ้าม่านผืนบางให้พริ้วไหว พอลขึ้นเตียงนอนเล็กๆ กว้างสามฟุตครึ่งของเขา เขานอนกอดผ้าแทนการห่ม เฝ้ามองต้นกุหลาบริมหน้าต่างที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาเห็นยอดใบสีเขียวเล็กน้อย ก่อนจะผล็อยหลับไป

 

               ถึงแม้จะเพิ่งต้นฤดูร้อน แต่ความอบอ้าวยามค่ำคืนก็ได้ปลุกให้พอลที่กำลังรู้สึกไม่สบายตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เขาสลัดผ้าห่มออก คว้านาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างหัวเตียงดูเวลา ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนสิบสามนาที

 

               ก่อนที่พอลจะหลับตาลงอีกครั้ง ภาพห้องนอนของเขามันแปลกไปในความรู้สึก พอลจึงลุกขึ้นนั่ง แล้วเพ่งมองสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนของตัวเอง

 

               ตู้เสื้อผ้าที่ปิดประตูไม่สนิทดีมีเสื้อนอกสีแดงแขวนอยู่ตัวหนึ่ง โต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยกองหนังสือและกระดาษสำหรับเขียนรายงานที่ทำค้างอยู่ กล่องใส่ของเล่นที่อยู่ระหว่างตู้เสื้อผ้าและโต๊ะมีเงาจากความมืดสลัวเป็นรูปร่างของกองของเล่นที่เก็บไม่หมดจนล้น บางชิ้นตกอยู่ที่พื้นด้านล่างข้างๆ กล่อง เหนือกล่องของเล่นมีราวตะขอสำหรับแขวน นวมสีแดงกับกระบอกใส่ลูกธนูถูกแขวนอยู่บนราวข้างๆ กระเป๋าเป้สะพายหลัง 

               พอลมองผ่านหน้าต่างที่แสงจันทร์ส่องเข้ามาจนเกิดเงาที่กลางพื้นห้องนอน ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง ตุ๊กตาล้มลุกเป่าลมขนาดใหญ่เก่าๆ อันนึงมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มดูน่ากลัว ไม้พายที่พาดไปกับฝาผนังและรองเท้าสเกตที่พื้นด้านล่างยิ่งทำให้ตุ๊กตาล้มลุกดูคล้ายสัตว์ประหลาดใส่รองเท้าบูทถืออาวุธยาวน่ากลัว 

               มีบางอย่างแปลกไปจริงๆ เขาไม่แน่ใจนัก แต่ห้องนอนเขาดูแปลกไป พอลเอาผ้าห่มคลุมหน้าจนเหลือแต่ตา เขานอนนิ่งพยายามไล่ความคิดไร้สาระที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ในหัวให้ออกไป 

               แต่ขณะที่กำลังจะปิดเปลือกตาลงนั้น 

               เขาเห็นเงากำลังวูบไหวในความมืด!?

               มันเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง พอลเพิ่งตระหนักได้ว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในห้องนี้คือกระถางต้นกุหลาบ มันไม่ใช่การมีอยู่ของกระถางต้นไม้ แต่ตำแหน่งและรูปร่างของมันต่างหากที่แปลกไป

               โคนกระถางมีเงาดินเป็นกองนูนสูงขึ้นมาผิดปกติ และเมื่อครู่นี้ พอลก็เห็นเงาดำวูบไหวเล็กน้อยตรงช่วงลำต้น

               มันอาจจะโดนลมพัด พอลปลอบใจตัวเอง แต่เขายังคงขมวดคิ้วในความมืด 
               เนินดินนั่นมันอะไรกัน

 

               ขณะที่เขานอนนิ่งจ้องมองเงาดำของกุหลาบ แสงจันทร์ที่ส่องสว่างก็ส่องให้เห็นยอดส่วนใบของต้นกุหลาบ

               ยอดของต้นกุหลาบ?? เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นี้มันมองไม่เห็นส่วนยอดไม่ใช่เหรอ?? มันเป็นเงามืดๆ ทั้งต้นต่างหาก!

               พอลใจเต้นโครมคราม แต่ร่างกายกับกลั้นหายใจไว้ด้วยความตื่นตระหนก บางทีอาจเพราะพระจันทร์เปลี่ยนตำแหน่ง... 

               แล้วพอลก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาจำได้ว่าก่อนจะนอนนั้นเขาเห็นแสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาเห็นส่วนยอดของต้นกุหลาบนี่? แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมาเห็นแต่เงามืด...แล้วเมื่อกี้ยอดของมันก็โผล่ต้องแสงจันทร์! 

               เขาไม่กล้าหายใจ เพ่งมองไปที่ใบไม้ในแสงจันทร์เหล่านั้น

 

               เลือดในกายของเขาเย็บเฉียบ ฉับพลันขนลุกซู่ไปทั่วเรือนร่าง เพราะขณะนี้เขากำลังเห็นดอกกุหลาบสีแดงสดในแสงจันทร์!

               พระเจ้า! เลโอน่ากำลังเคลื่อนไหว! กุหลาบของเขากำลังยืดลำต้นชูสูงขึ้น!!

               หัวใจของพอลสูบฉีดหนักหน่วง แต่เขาไม่อาจกลั้นหายใจได้อีกต่อไป เขาหลุดระบายลมหายใจออกมาเสียงดัง 

               ดอกกุหลาบหันขวับมาที่เขาทันที!

               พอลอยากกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดผ่านลำคอออกมา มันหันมาจริงๆ มันไม่มีหน้าตา ปาก หรือเครื่องหน้าใดๆ หรอก แต่ลักษณะที่มันชูดอกหันขวับมาทางเขาทันที มันเหมือนคนหันมามองไม่มีผิด!

               ในความเงียบงันดอกกุหลาบสีแดงหันดอกจ้องเขาไม่เคลื่อนไหว พอลเองก็เช่นกัน เขาเกร็งตัวแข็งไปทั้งร่างนอกจากหัวใจที่เต้นระรัว ในหัวเขาก็ไม่มีเสียงความคิดใดๆ อย่างที่ควรจะเป็น

 

               เขาเห็นโคนกระถางมีเงาเคลื่อนไหวเล็กน้อยหลังจากที่เลโอน่าไม่ยอมขยับและเอาแต่จ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน

               เมื่อนั้นสมองเขาก็ทำงานอีกครั้ง เขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ว่าข่าวเกี่ยวกับการหายไปของต้นไม้ต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ใช่ถูกขโมย 

               มันต้องไม่ใช่แน่ๆ ... ต้นไม้เหล่านี้หนีไปเองต่างหาก!

 

               ความเศร้าอย่างอ่อนไหวจู่โจมเกาะกุมหัวใจเขาในทันที ท่าทีของเลโอน่ากำลังฟ้องว่ามันกำลังแอบหนี ใช่...มันกำลังอยากหนีไป มันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ มันไม่ได้อยากอยู่กับเขา เขาไม่จำเป็นต้องถามตัวเองว่าเขาเป็นเจ้าของหรือคนดูแลที่ดีพอหรือยัง แค่สถานการณ์ที่มันกำลังจะหนีออกจากบ้านนี่ก็ฟ้องได้ชัดอยู่แล้ว

 

               "ไปซะ..." พอลลุกขึ้นมาพึมพำเสียงกระซิบไปทางต้นกุหลาบ ราวกับกลัวว่าจะมีใครอื่นมาเห็นการแอบหนีในครั้งนี้
               ราวกับมีจิตใจรับรู้ ดอกสีแดงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งใต้แสงจันทร์ เงาเนินดินที่โคนกระถางเริ่มสูงขึ้นจนปริแตก รากเป็นเส้นกำลังเคลื่อนไหวออกจากดินมาสู่อากาศ

 

               พอลทั้งอึ้งและโศกเศร้าไปพร้อมๆ กัน เขาเฝ้ามองเลโอน่าที่ค่อยๆ ขยับลำต้นและรากเพื่อออกจากกระถาง เศษดินจำนวนมากหล่นเรี่ยราดออกมาที่พื้นด้านนอก 

 

               ดอกสีแดงสด ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามสีเขียวชูชันเคลื่อนไหวใต้แสงจันทร์ มันชูกิ่งก้านเกี่ยวขอบหน้าต่าง ก่อนค่อยๆ ขยับเขยื้อนส่วนต่างๆ ของมันพยายามปีนข้ามผนัง

 

               จนกระทั่งเลโอน่ายืนด้วยรากเปลือยไร้ดินตรงขอบหน้าต่าง แสงจันทร์ส่องสว่างก่อเป็นภาพแปลกประหลาด ลำต้นสีเขียวมีหนามของกุหลาบที่หยัดยืนด้วยรากเปลือยนั้นงดงามราวกับภาพวาด แต่มันกลับเป็นภาพชวนเศร้าบีบหัวใจสำหรับเขาเหลือเกิน 

               ดอกสีแดงนั่นหันมาทางพอลอีกครั้ง พอลโบกมือน้อยๆ ให้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง และแล้วเลโอน่าก็ทิ้งตัวลงจากหน้าต่างชั้นสองในห้องนอนของเขา

 

               ต้นกุหลาบของเขาหนีออกจากบ้านไปแล้ว 

            เลโอน่าทิ้งเขาไปเสียแล้ว 




Kingdom Botanica อาณาจักรพฤกษา

ผู้แต่ง : Esta Em Maho

ตอนที่ ชื่อตอน วันที่ลง
1 บ๊ายบาย เลโอน่า 13 ก.พ. 59
2 บนถนนแห่งความบ้าคลั่ง 09 มี.ค. 59
3 ชั่วโมงเรียนที่ 1 16 มี.ค. 59
4 ชั่วโมงท้าดวล 23 มี.ค. 59
5 กระโจนสู่สมรภูมิ 30 มี.ค. 59

Comment จากกรรมการ

#1 Enter Books Editor Team

บทนี้อ่านแล้วแอบขำไปหลายครั้ง > <

เรื่องนี้ค้นพบแล้วว่าชอบพวกเรื่องเกี่ยวกับไอเท็มต่างๆนะคับ
ชอบเรื่องการนำเสนอเกี่ยวกับพืช ดูรีเสิร์ชมาดี
ชอบธีมที่มนุษย์จะไปต่อสู้กับพืช

ดาวิษ ชาญชัยวานิช

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 1 of 2 1 2
  • ความคิดเห็นที่ 24

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.243.240
    • 31 มีนาคม 2559 / 07:17
    บทนี้อ่านแล้วแอบขำไปหลายครั้ง > <

    เรื่องนี้ค้นพบแล้วว่าชอบพวกเรื่องเกี่ยวกับไอเท็มต่างๆนะคับ
    ชอบเรื่องการนำเสนอเกี่ยวกับพืช ดูรีเสิร์ชมาดี
    ชอบธีมที่มนุษย์จะไปต่อสู้กับพืช

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 23

    Briss
    • Name : Briss < My.iD > [IP] 182.148.26.38
    • 31 มีนาคม 2559 / 01:12
    เออ ลืมบอกอีกอย่าง
    มีความนับถือในการจินตนาการและตั้งชื่ออุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในเรื่อง
    มีความรู้สึกว่าต้นไม้เรายังหาข้อมูลได้
    แต่พวกองค์ประกอบต่างๆของพวกพอลนี่แหละที่ใส่รายละเอียดยากเหลือเกินจริงๆ

    :)
  • ความคิดเห็นที่ 22

    Briss
    • Name : Briss < My.iD > [IP] 182.148.26.38
    • 31 มีนาคม 2559 / 00:56
    จบแบบนี้โอเคแล้ว
    ปรบมือให้ด้วยหาคำผิดไม่เจอ เย่ ~

    พอจะเดาได้ว่าอยากจะใส่อะไรมาต่อท้ายบทนี้
    แต่ว่ากันตามจริงพอจบตรงนี้มันวนไปที่บทนำได้อยู่
    แต่ตัวละครคือเรื่องใหญ่มากจริงๆ ตอนที่แล้วมาเดินพาเหรด ตอนนี้ค่าตัวหมด ฮาาา

    รออ่านตอนเรื่องนี้สมบูรณ์นะ แอบไปแอดไว้ละ :)
  • ความคิดเห็นที่ 21

    dinn
    • Name : dinn < My.iD > [IP] 171.96.184.106
    • 30 มีนาคม 2559 / 09:41
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^

    ชอบแนวคิดเรื่องนี้มากกกกก 5555+ เล่นเอาคิดตามเป็นตุเป็นตะเลย
    จริงๆ แล้วอยากจะเมนต์ยาวนะ แต่อ่านเมนต์ของหลายๆ คนแล้วก็แอบเห็นด้วย แล้วก็เลย... ไม่รู้จะเมนต์อะไรดี เพราะมันจะซ้ำๆ เอา (ฮา) ตอนหลังๆ เริ่มมีวิธีการเล่าที่แตกต่างออกไปหลากหลายยิ่งขึ้น เข้าใจว่าคงพัฒนาขึ้นมาจากคอมเมนต์และคำติชมซึ่งถือว่าทำได้ดีทีเดียวครับ
    พล็อตเด่นมากสำหรับเรื่องนี้ ที่เหลือก็คงจะแค่ให้พัฒนาสำหรับการนำเสนอ ก็น่าจะกลายเป็นเรื่องที่สนุกแบบสุดๆ อีกเรื่องได้ไม่ยากเลยครับ //โบกป้ายไฟเชียร์ ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 20

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.246.110
    • 24 มีนาคม 2559 / 03:11
    บทนี้เป็นช่วงที่ตัวละครเริ่มทำการฝึกฝนกันแล้ว
    เป็นจังหวะอันดีที่จะให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับระบบต่อสู้ในนิยายเรื่องนี้
    แต่เสียอย่างเดียวคับ
    ตัวละครโผล่มาเยอะเกินไปมาก
    มันบั่นทอนความสนใจของผู้อ่านไปพอดูเลย
    แบบว่ากะลังเพลิดเพลินกับ action กันดีๆ แต่ต้องคอยหยุดคิดเป็นพักๆว่าใครเป็นใคร

    ทีนี้... เรื่องจำนวนตัวละครที่โผล่มาในช่วงต้นๆของนิยายเนี่ยเป็นสิ่งสำคัญมากนะคับ
    เพราะการที่เราจะเขียนตัวละครให้คนอ่านจำได้
    เราต้องเอาตัวละครต่างๆไปผูกโยงเข้ากับตัวละครหลัก(พระเอกหรือนางเอกของเรื่องเพียงคนเดียว)
    คือเราต้องเอาตัวละครเสริมต่างๆไปมีปฏิสัมพันธ์กับตัวเอกของเรา
    ตรงนี้แหละคับ คือจุดที่จะทำให้คนอ่านจำตัวละครต่างๆได้

    ซึ่งการจะให้ตัวละครไปมีปฏิสัมพันธ์กันนั้น มันจะต้องสร้างเหตุการณ์ย่อยขึ้นมา
    จากนั้นก็ต้องซูมเข้าไปในความคิดอ่านของตัวเอก ว่ารุ้สึก/คิด ยังไงกับตัวละครตัวนี้

    จะเห็นได้ว่าเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาซักระยะนึงเลย
    (การเขียนอธิบายแค่ประโยคสองประโยคว่าตัวละครตัวนี้เป็นอะไรกับตัวเอก ...นี่ไม่ทำให้คนอ่านจำตัวละครนั้นๆได้นะคับ)
    ดังนั้น การสร้างตัวละครขึ้นมาเยอะๆตั้งแต่บทแรกๆ รังแต่จะบั่นทอนงานเขียนของเราเปล่าๆคับ

    ลองดูต้นย่อหน้า 4 นะ
    ตรงนั้นอ่านแล้วจะงงมาก ว่าใครเป็นใคร

    นิยายเรื่องนี้พล็อตดีนะครับ
    พยายามคิดเรื่องให้เรียบง่ายที่สุด ความสนุกของเรื่องจะโดดเด่นขึ้นมา : )

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 19

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.194.122
    • 23 มีนาคม 2559 / 23:55
    รอบนี้ไม่ค่อยพีค หรืออาจจะหาไม่เจอก็ไม่รู้ แต่เชื่อมั่นว่าเบลอด้วยกันหมด ฮาา
    เท่าที่เจอนะ 

    ฟันสีขจี? >> ขจี >> ว. งามสดใส, ใช้ในคําว่า เขียวขจี. (ข. ขฺจี ว่า ดิบ, อ่อน). 
    >> ทีนี้เข้าใจแหละว่าจะสื่อถึงสีเขียวขจี แต่ถ้าพูดถึงความหมายของขจีมันก็ไม่ค่อยตรงตัวเท่าไหร่ เคยมีตัวอย่างคำบรรยายว่าสีดิน ทีนี้มีประเด็นว่าดินนี่มีเป็นสิบๆสีเลยนะ เอาสีพาร์ทไหนยังไง ตรงนี้ก็ไม่แน่ใจว่าสีขจีจะเมกเซ้นส์มั้ย
    ทีนี้มีคำถามต่อว่าฟันต้นไม้อยู่ตรงไหนบ้าง? คือถ้าหญ้าอยู่ที่ต้นสีเขียว แล้วพวกมีต้นสีน้ำตาลนี่ฟันอยู่ไหน อยู่ที่ใบก็สีเขียว โอเค แต่พวกไม่มีใบอีกล่ะ ปัญหาโลกแตกมาก 555

    วิลเลี่ยมหรี่สายตา >> หรี่สายตา!  สายตาหรี่ไม่ได้ T_____T สายตาอารมณ์เหมือนทอดมองจ้องมองอะ มันไม่ใช่นามที่จะมาหรี่ ฮาา อันนี้หรี่ตาเฉยๆน่าจะดีกว่า

    ...ของศูนย์วิจัยที่นี้ 
    ที่นี้ใช้ห้องเพาะพันธุ์ศัตรูพืชรึเปล่า
    >> ซีรี่ย์ไม้โทจากความเบลอมากๆ "ที่นี้" "ที่นี้ใช้" ไม่ต้องอธิบายเนอะ โดยเฉพาะประโยคหลังอ่านแล้วดูเหน่อมากกก

    แววตาเด็ดเดี่ยวระคนความกราดเกรี้ยว >> เธอชอบใช้คำซ้อนจริงๆแหละ อันนี้ตัดความไปก็ได้ เป็นระคนกราดเกรี้ยวเลยกระชับกว่า ความหมายคงเดิม

    ทีนี้... ตัวละครเยอะมากกก แม้จะนำกลับมาใช้ใหม่บ้างก็ตาม แต่ก็ตาลายเลย ถ้าไม่อ่านมายาวๆและตามยาวๆจะตามไม่ติดเอา
    แล้วก็ตอนนี้เรื่องต่างๆเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด และตัวละครที่เยอะเลยเลือกไม่ถูกเลยว่าใครจะไปไหนอะไรยังไง ใครจะคิดอะไร และเกิดอะไรขึ้น เลยรู้สึกค่อนข้างงงและวุ่นวายกว่าตอนอื่นๆ 

    จบด้วยความช็อค... แม่มดอะไรยังไง?

    นึกไม่ออกแล้ว เบลอด้วยคน
  • ความคิดเห็นที่ 18

    Esta Em Maho
    • Name : Esta Em Maho < My.iD > [IP] 103.26.22.249
    • 23 มีนาคม 2559 / 21:58

    แจกรูปกับเขาบ้าง 55555555 ถ้าอ่านก็จะรู้ว่านี่ใคร ><
  • ความคิดเห็นที่ 17

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.247.64
    • 19 มีนาคม 2559 / 15:50
    สวัสดีคร้าบ~

    ชอบไอเดียของเรื่องนี้นะครับ ต้นไม้มีชีวิตและทำการปฏิวัติโลก หยิบจับเอาเรื่องใกล้ตัวมาต่อยอดได้อลังการ บทบรรยายและวิธีเล่าเรื่องตอนต้นไม้ลุกฮือขึ้นออกจากเมืองก็รื่นไหลได้ภาพชัด (แอบน่ากลัวด้วย) สนุกมากครับ!

    นี่เฮียเอง
  • ความคิดเห็นที่ 16

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.245.138
    • 17 มีนาคม 2559 / 21:37
    เรื่องเริ่มมีจุดโฟกัสและเข้าประเด็นมากขึ้นเรื่อยๆ
    ชักจะน่าติดตามแล้วนะครับ > <
    ปล. บทนี้อ่านง่ายกว่าบทก่อนๆเยอะเลย ดีแล้วคับ เขียนต่อไปนะ XD
  • ความคิดเห็นที่ 15

    Esta Em Maho
    • Name : Esta Em Maho < My.iD > [IP] 103.26.22.244
    • 17 มีนาคม 2559 / 11:59
    ขอบคุณทุกความคิดเห็นมากเลยนะคะ ^^

    อาจจะไม่ค่อยได้ตอบอะไรใครมาก *-*"

    ในส่วนของความผิดพลาด...ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ
    ยอมรับโดยดี

    ส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง เอาเป็นว่าอยากให้ติดตามเนอะ ^^ 
    นักเขียนคงสื่อผ่านนิยายดีที่สุด :)

    พูดไม่ค่อยเก่งด้วยค่ะ 55

    ขอบคุณทุกความคิดเห็นจริงๆ ค่ะ :)

    ปล. แสดงความคิดเห็นได้อิสระค่ะ ไม่มีโกรธอยู่แล้ว เราเคารพทุกความเห็น ทุกความรู้สึกค่ะ ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลในตัวมันเอง :)
  • ความคิดเห็นที่ 14

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.207.19
    • 16 มีนาคม 2559 / 22:23
    อาราย >> อันนี้น่าจะตั้งใจสินะ แบบเสียงยาวๆ
    แล้วก็มีกระพริบติดมาอันนึง
    นอกนั้นไม่มีอะไรแล้ว
    ตัวละครทยอยโผล่มาเรื่อยๆเลย แต่ระวังอย่าเยอะไปนะ เดี๋ยวดึงกลับไม่ลง
    ชอบกลอนด้วย ฮาาา
    อืมมม ตอนนี้ทำได้ดีเลยล่ะ เหมาะกับระยะ อาจเพราะมันไม่หวือหวามากด้วย
    เป็นช่วงรอยต่อที่จะรอดูตอนต่อไปนะ!!
  • ความคิดเห็นที่ 13

    Ariel
    • Name : Ariel [IP] 171.5.250.166
    • 16 มีนาคม 2559 / 16:43
    อ่านแล้วชอบนะคะ โครงเรื่องแหวกแนวดีแฟนตาซีสุดๆ บรรยายจนเห็นภาพตามเลยค่ะ ลุ้นมากกกก รออ่านบทต่อๆไปอยู่นะคะ
  • ความคิดเห็นที่ 12

    Airin_and_Arpo
    • Name : Airin_and_Arpo < My.iD > [IP] 126.123.213.66
    • 15 มีนาคม 2559 / 20:46
    //เพิ่งได้แวะเข้ามาอ่าน//
    อาจจะมีบางฉาก+บางประโยคที่ยังตัดทอนได้อยู่ จะได้ไม่ดูยืดเยื้อไป
    เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ อยากอ่านตอนต่อไปเลย จะรอนะ^^
  • ความคิดเห็นที่ 11

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.247.251
    • 10 มีนาคม 2559 / 00:14
    บทแรกทำได้ดี
    แต่มาบทสองนี่เยอะไปนะ T T
    เยอะไป ...ยาวไปด้วย T T
    จุดที่ทำให้อ่านแล้วสับสนคือไทม์ไลน์ของเรื่องคับ
    เดี๋ยวก็ฝัน เดี๋ยวก็เล่าอดีต เดี่ยวก็กรอไปข้างหน้า
    พยายามให้เหตุการณ์ในแต่ละบทมันอยู่ในช่วงเวลาเดียวพอแล้วครับ
    แล้วงานเขียนจะมีความคมขึ้นมากเลย XD

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 10

    Col.WindFlow Lovely
    • Name : Col.WindFlow Lovely < My.iD > [IP] 171.7.135.153
    • 10 มีนาคม 2559 / 00:04
    บรรยายดีมาก ช่วงต้นๆ เห็นภาพชัดเจนเหมือนดูหนัง แต่เยอะไปหน่อย 
    ไม่เป็นไร ช่วงท้ายๆ เล่นได้สนุกดี แต่บทสนทนามีติดสำเนียงไทย ฮะฮ่า 

    ไม่ว่าจะสะดุดตรงไหน ยังไงก็ชอบพล๊อตมากๆ มันทำให้อยากติดตามเนื้อหาต่อไป

    เชียร์อยู่นะ สู้ๆ ^^
  • ความคิดเห็นที่ 9

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.206.225
    • 9 มีนาคม 2559 / 20:37
    บทที่สองนี่เห็นความพยายามโชว์ฝีมือแบบสุดๆเลยจริงๆ
    แต่บางทีเห็นเหมือนมันพยายามมากไปจนดูเหนื่อย เราอ่านเราก็เหนื่อย
    คือพยายามจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่วนอยู่รอบไปหมด
    ทีนี้พูดถึงอะไรที่เจอ...

    แทนที่จะอยู่ในป่าที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้น่าจะสะพรึงกลัว >> อันนี้น่าจะพิมพ์เกินแล้วลืมลบ..
    หุ่นเพรียว หุ่นเจ้าเนื้อ หุ่นอุ้ยอ้าย >> คือทุกคนล้วนมีหุ่น พอมีทีก็อยู่ใกล้ๆกัน อาจจะตัดคำหรือเปลี่ยนคำให้ไม่ซ้ำจะดูรื่นกว่านี้
    มี >> ความมีเยอะมาก คือมีทุกอย่าง อยากที่บอกว่าบรรยายหมดจนงงและที่แน่นอนคือจำไม่ได้ มีนู่นนี่นั่นเยอะมากก
    พวกเขาพบชายหนุ่มหุ่นฉกรรจ์ ใบหน้ามีหนวดเคราและเส้นผมสีแดงเพลิง เขากำลังถือเลื่อยยนต์ขนาดใหญ่จ้องมองปีศาจต้นยู... >> แอบรู้สึกว่าถ้าจะออกมาแล้วตาย... ไม่ต้องอธิบายละเอียดก็ได้ เพราะเฮียแกก็ตัวประกอบ นอกจากเฮียจะไปคืนชีพมาอีกครั้งก็ว่ากัน และตรง "เขากำลังถือเลื่อยยนต์ขนาดใหญ่จ้องมองปีศาจต้นยู" อ่านปุ๊บ อ้าววว เลื่อยยนต์มองต้นยู!! จริงๆใส่คำเชื่อมก็ดี เพราะเป็นประโยคซ้อนประโยค แม้การตีความตรงตัวมันจะกวนตีนไปก็เถอะ ฮาา
    สะท้านความตื่นกลัว >> ไม่รู้ว่าเล่นคำหรือพิมพ์ผิด แต่เท่าที่อ่านความหมาย สะท้อนน่าจะให้ความหมายดีกว่า
    พบกับ >> คือมีความพบกับเยอะมาก วิ่งไปทางนู้นก็พบกันคนนี้ วิ่งไปทางนี้ก็พบภาพใครต่อใคร อันที่จริงเจอก็เจอเลยก็ได้ ตัดการพบเจอไปบ้างแต่บรรยายเลย เพราะโดยพื้นฐานเรารู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องพบแน่ๆ
    ปรอยผม >> เปิดพจนานุกรมแล้วไม่มี ร.เรือ นะ
    แก๊งสามช่า >> อันนี้ว่าด้วยธีมเรื่อง... เพราะตำนานแก๊งสามช่ารู้สึกจะเกิดที่ไทย กูเกิลได้ แต่ทีนี้ไม่รู้ว่าตลกของต่างประเทศเขาเรียกว่าอะไรเหมือนกัน แต่พอได้ยินแก๊งสามช่าปุ๊บ หน้าหม่ำ เท่ง โหน่งก็ลอยขึ้นมาเลย
    รองเท้าแบบทหาร >> อันนี้อ่านแล้วสรุปสุดท้ายคนคุมค่ายคือทหาร? ดังนั้นไม่ต้องแบบทหารมั้ง รองเท้าทหารได้เลย

    ผักบุ้งเป็นคนที่ใช้คำซ้ำได้มีศิลปะนะ แต่พอมันเล่นเยอะแล้วมันเหนื่อย
    แต่พูดถึงโครงเรื่องของตอนนี้คือดีเลย แต่พูดถึงความรู้สึกก็ระทึก แต่อารมณ์ผู้คนมันดรอปแฮะ เพราะเหมือนบรรยายแค่สีหน้าผู้คนสูญเสียอะไรงี้ปะ ลืม 
    ตั้งแต่เริ่มตอนมาคืออัดๆๆ เจอนู่นนี่นั่น คนนั้นตาย คนนี้เจ็บ คือมันตัดฉากเร็วจนความสะเทือนตามมาไม่ทัน พอจะอินปุ๊บ เฮ้ยย เฮียชายฉกรรจ์เพิ่งตาย เด็กสาวกลางถนนตายต่อแล้ววว

    แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือต่างจากตอนแรกเยอะมากกกก คือเป็นการพัฒนาที่เยอะมากจริงๆ

  • ความคิดเห็นที่ 8

    Front
    • Name : Front < My.iD > [IP] 171.96.173.34
    • 7 มีนาคม 2559 / 15:21
    ส่วนของบทนำนี่ตั้งใจให้อยู่ตรงกลางรึเปล่า หรือระบบมันรวนอ่ะ 
    จัดกลางหน้ากระดาษหมด ทำให้อ่านยาก คือปกติใช้เหมือนการเน้นความสำคัญของประโยคสั้นๆ
    แล้วก็ตัวหนังสือเล็กไปนะ ปรับตัวใหญ่ขึ้นหน่อยก็ดี
    เปิดเรื่องมาในบทนำมีแนวคิดที่น่าสนใจดี จริงๆน่าสนใจตั้งแต่แนวคิดที่ต้นไม้มีชีวิตแล้ว แต่อ่านแล้วยังรู้สึกว่าการบรรยายเกี่ยวกับระบบโลกในเรื่องซึ่งจะปูพื้นให้คนอ่านมันค่อนข้างวกวนอยู่ มีการบรรยายซ้ำๆ แล้วก็ยังไม่กระชับนะ คือรู้สึกว่าน่าจะตื่นเต้นกว่านี้หน่อย เพื่อนำก่อนเข้าสู่บทแรก
    บทที่ 1 อ่านแล้วหนูมีปัญหาเลย เค้ารู้สึกว่าเครื่องปิ้งขนมปังการบรรยายเสียงเครื่องปิ้งขนมปังมันยาวไปป่ะ 'เสียงแหลมเล็กแหวกอากาศดังขึ้นจากอีกฝากหนึ่งของห้อง...' อันนี้คือบรรยายเสียงเครื่องปิ้งขนมปังป่ะ หรือบรรยายถึงอย่างอื่น ถ้าใช่เค้าไม่นึกถึงเครื่องปิ้งขนมปังเลย เค้านึกถึงเสียงกาต้มน้ำริอนมากกว่านะบรรยายแบบนี้
    ในประโยคคำพูดถ้าคำไหนไม่ใช่คำสำคัญจริงๆ ไม่ต้องไปใส่ตัวเอียงก็ได้นะ เวลาอ่านมีตัวเอียงเยอะๆ ติดๆกันแล้วมันดึงความสนใจของสายตา อ่านไปๆ อ่า...ตัวเอียงใช้บ่อยไปนะ  อย่างตอนต้นไม้ปีนหนี ไม่ต้องใส่ตัวเอียงก็ได้ ช่วงท้ายของบทที่ 1 อ่านแล้วได้ฟีลดีมากค่ะ จบบทแอบรู้สึกเศร้ากับการจากไปของต้นไม้นิดนึง
    อ้อ ...แล้วก็รู้แล้วว่าทำไมบทนำรู้สึกบรรยายได้ไม่สุด ส่วนหนึ่งเพราะมุมมองการบรรยายเป็นแบบเล่าผ่านตัวละครนี่เอง คือการเล่าแบบนี้มันมีข้อเสียตรงที่มันบรรยายทุกอย่างได้ไม่หมด แต่มันแสดงอารมณ์ของตัวละครได้ดี ถ้าจะเลือกการบรรยายแบบนี้ก็ต้องเขียนให้น่าสนใจเพราะถ้าเราเล่าผ่านความคิดของคนๆนึง ถ้าบุคลิกตัวละครที่เราเอามาเล่ามันธรรมดามันก็จะน่าเบื่อไปเลยได้ 
    แล้วก็การบรรยายโดยใช้มุมมองแบบสลับไปสลับมาอย่างบทนำ กับบทที่ 1 ที่แนวทางไม่เหมือนกันทำให้อ่านแล้วเนื้อเรื่องไม่เสถียรนะคะ ยังไงก็ลองปรับดูแล้วกัน เป็นกำลังใจให้ค่ะ 
    คอมเม้นท์ด้วยความเห็นส่วนตัว มั่วบ้าง เวิ่นบ้าง เยอะหน่อยนะ 
    รอดูพัฒนาการนะคะ ไปล่ะ 
    ในนาม Front
  • ความคิดเห็นที่ 7

    Besty Vivo
    • Name : Besty Vivo < My.iD > [IP] 58.11.76.72
    • 7 มีนาคม 2559 / 01:37
    เลโอน่าหนีพ่อหนูไปเพราะงอนสินะคะ
    ตรงจุดนี้ขอชมเรื่องความกระชับของภาษาค่ะ
    แต่รู้สึกเหมือนเรื่องยังดำเนินยืดเยื้อไป ทำให้ยังตามอ่านได้ไม่ค่อยลื่น
    บทสนทนาที่อ่านแล้วรู้สึกเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันมากๆเลย คือยังไม่ค่อยดึงน่ะค่ะ
    แต่โดยรวมดีแล้ว สู้ๆค่ะ พัฒนาฝีมือต่อไปนะคะ
    เป็นกำลังใจให้ค่ะ

    ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัว ไม่โกรธกันน๊า
  • ความคิดเห็นที่ 6

    ธุลี..สีคราม
    • Name : ธุลี..สีคราม < My.iD > [IP] 118.173.186.149
    • 6 มีนาคม 2559 / 14:32
    นี่หนูรักดอกไม้ขนาดนี้เชียว  55555
    ไม่รั้งไว้หรอ  5555

    ด้วยว่าบทนำเร้าใจมาก  แต่ตัดอารมณ์ดังฉับด้วยบทหนึ่งที่เนิบช้า  เลยทำให้อารมณ์ขณะอ่านคือ รู้สึกเสียดาย  เพราะถ้าเร่งเร้าอีกเรื่องนี้จะสนุกตื่นเต้นมาก ๆ แต่ก็เข้าใจคนเขียนนะครับ ที่คงจะวางแผนปูเรื่องมาแล้วว่าจะดึงมาสู่จุดเริ่มต้น ก่อนพาไปสู่ฉากของบทนำ

    ยังไงก็สู้นะ ๆ ครับ
    บทถัดไป ก็เร่งเรื่องอีกสักนิดก็ดีนะครับ (หมายถึงในส่วนจังหวะเรื่อง) เพราะยืดช้าจนเกินไปก็จะทำให้เรื่องเอื่อยไปเรื่อย 
  • ความคิดเห็นที่ 5

    ::Shine {L#เที่ยงวัน} ::
    • Name : ::Shine {L#เที่ยงวัน} :: < My.iD > [IP] 180.183.179.253
    • 5 มีนาคม 2559 / 21:32
    อ่านชื่อตอน ตอนแรกนึกว่าเลโอน่าเป็นชื่อเมือง  
    แล้วตัวเอกหนีออกจากบ้านอะไรทำนองนั้น ที่ไหนได้... 
    กลายเป็นชื่อต้นไม่ แถมเป็นต้นไม้ที่หนีออกจากบ้านด้วย ฮาาา 
    เลโอน่าจะไปไหนนี่ ไปรวมกับกุหลาบต้นอื่นๆ ใช่มั้ย ?? 
    เป็นเรื่องที่แปลกจากเรื่องอื่นๆ จริงๆ 
    เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ สำนวนสวย อ่านแล้วลื่นไหลมากเลย 
    แอบอิจฉาเบาๆ ฮ่าๆ สู้ๆ นะค้าาา ^^
Page 1 of 2 1 2

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป