EN16 Kingdom Botanica อาณาจักรพฤกษา
พอลตัดสินใจเรียนต่อที่ศูนย์วิจัยพฤกษศาสตร์หลังจากเห็นต้นกุหลาบของตัวเองหนีออกจากบ้านในคืนหนึ่ง เมื่อต้นไม้ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหว! เมื่อมันไม่แยแสมนุษย์และสัตว์! โลกจะเป็นเช่นไรเมื่อห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย!?
บทนำ
ผมไม่รู้ว่ามายืนตรงนี้ทำไม
เด็กหนุ่มอายุ 18 ปีอย่างผม ควรแล้วหรือที่มายืนอยู่ตรงนี้...
ผมยืนนิ่งงันไม่สามารถขยับเขยื้อนไปจากภาพสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาตรงหน้าได้
ความสูงใหญ่ของมันสะกดร่างให้หยุดนิ่ง
กิ่งก้านสีเข้มทะมึนที่แผ่ครึ้ม สะกดความตื่นกลัวให้หยุดสั่นไหว
รากยักษ์เหนือพื้นดินกำลังขยับเขยื้อน แทบสะกดหัวใจให้หยุดเต้น
ผมได้แต่นิ่งงัน ลมหายใจขาดห้วง
ผมเคยได้ยินเรื่องบรรดาต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลกมาบ้าง
พวกมันมีความสูงกว่า 400 ฟุต หรือความสูงที่มากกว่า 100 เมตร
มีลำต้นที่หนากว่า 40 เมตร
แต่นี่มันต่างออกไปอย่างเทียบไม่ได้...
กิ่งมหึมาร่วงลงพื้น ส่งเสียงกัมปนาทสนั่นไปทั่วบริเวณ
แสงวาววับสะท้อนจากใบมีดดาบใบกว้างของมาร์ซิต้า หัวหน้าหน่วยจู่โจมที่ 1
เธอพุ่งทะยานขึ้นไปตามแนวลำต้นอสูรยักษ์ สายตาดุดันราวอุทิศให้กับเทพเจ้าแห่งสงคราม
หน่วยจู่โจมที่ 1 ที่เหลือกระโจนพุ่งเข้าหารากอสูร ก่อนจะทะยานดีดตัวขึ้นสู่ลำต้นสูงดั่งหินผาเหล่านั้น
โรซิน่า และเวียนนา ทะยานผ่านกิ่งยักษ์ไปสู่อีกกิ่งตามหลังมาร์ซิต้าไป
พวกเธอกระโจนหลบหลีกท่อนไม้ขนาดมหึมาที่ขยับฟาดฟัน
เสียงแหวกอากาศสะท้านความรู้สึกไปทั่วสรรพางค์กาย
จิตใต้สำนึกของผมตื่นรู้ในทันใด ว่าไม่อาจเอาชนะอสุรกายพฤกษาเหล่านี้ได้เลย
‘องครักษ์อสูร’ หรือ บรรดาทหารต้นไม้ขนาดยักษ์เริ่มขยับรากหนาเคลื่อนเข้ามารุมล้อม
อสูรพฤกษาเหล่านี้หวังไล่ขยี้สิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อยที่สูงไม่พ้นสองเมตร
“ไปซะทีสิ พอล !”
เสียงของ ไพธ์ พี่สาวฝาแฝดตะโกนบอกขณะพุ่งข้ามผ่านเหนือหัวผมไป
จริงสินะ
ผมได้สติมองไปรอบๆ
สมาชิกในทีมเหลือผมที่รั้งท้าย
ทั้งเอซร่าที่ตอนนี้เข้าไปถึงชายป่า
แอชลีย์ และไคกำลังวิ่งหลบกิ่งยักษ์ที่ถูกฟันขาดร่วงกระแทกพื้นอยู่เบื้องหน้า
ลูน่าพุ่งเข้ามาฉุดลากผมให้ออกวิ่ง ก่อนกระโจนเหยียบรากยักษ์ที่พุ่งเข้ามาขวาง ดีดตัวทะยานข้ามไป
ตอนนี้พวกเราอยู่ในภารกิจ E.L.F 162
พวกเขาตัดสินใจขนามนามพวกเราว่า ‘เอลฟ์’
เพราะพวกเราคือหน่วยปฏิบัติการที่มีภารกิจแฝงตัวเข้าไปในอาณาจักรพฤกษา โบทานิก้า
นอกจากพวกเราไม่มีใครอีกแล้วที่จะเข้าใกล้อาณาจักรของต้นไม้อสูรเหล่านี้ได้
ต้นไม้พวกนี้มีชีวิต...
ผมหมายถึง มีชีวิตจริงๆ
แตกต่างจากต้นไม้ในอดีตที่ถูกมองข้ามในฐานะสิ่งมีชีวิต เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์และสัตว์อื่นๆ ที่เคลื่อนไหวได้...
แต่วันนี้พวกมันเดินได้
และมากกว่าแค่เคลื่อนไหวได้
พวกมันปฏิเสธมนุษย์ด้วยความดุร้ายอย่างสาหัสสากรรจ์
พวกมันกลายพันธุ์และไม่ใยดีระบบห่วงโซ่อาหาร
พวกมันก่อกำเนิดอาณาจักรป่าไม้ขึ้น อาณาจักรที่มีเฉพาะพืช
และมีแค่พวกมันเอง!
ยิ่งไปกว่าสิ่งใด ณ เวลานี้ พวกมันคืออสุรกายที่มีพลังชีวิตเข้มแข็งที่สุดในโลก!
ต้นไม้ในอดีตเคลื่อนไหวไม่ได้...
มันไม่โต้ตอบ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายใดๆ จากมนุษย์หรือภัยธรรมชาติ
ถึงกระนั้นต้นไม้ใหญ่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังชีวิตมากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง
ต่อให้เราโค่นมันจนเหลือแค่ตอ มันก็อาจฟื้นตัวได้อย่างดีเมื่อได้ฝน
แม้กระทั่งการวางยาก็ยังต้องใช้ระยะเวลา
สิ่งที่ทำให้พวกมันตายอย่างเด็ดขาดคงมีแค่การถูกโค่นลงทั้งราก
แต่พืชยักษ์เบื้องหน้าพวกเราเหล่านี้ไม่สนใจการเอารากยึดเหนี่ยวอยู่ใต้ดิน...
มีด้วยหรือ!? วิธีที่จะปราบอสุรกายพฤกษาเหล่านี้??
และนี่คือการปฏิบัติงานครั้งแรกของเอลฟ์รุ่นที่ 1
ผมไม่แน่ใจว่าตกอยู่ในวงล้อมของสิ่งมีชีวิตที่สูงระดับต้นไม้สูงที่สุดของโลกในอดีต หรือมากกว่านั้น...
ความสูงมหึมาของปีศาจต้นไม้เหล่านี้
สิ่งมีชีวิตที่เปรียบดั่งไรฝุ่นอย่างผมไม่อาจประเมินออกมาเป็นตัวเลขได้ด้วยสายตา
ต่อหน้าอสุรกายคลุ้มคลั่ง ร่างยักษ์ดั่งภูผา
นี่มันควรแล้วหรือ!? ที่ผมเลือกชีวิตแบบนี้!!
บทที่ 1 บ๊ายบาย เลโอน่า
ณ บ้านไม้สองชั้นขนาดกะทัดรัดมีสวนเล็กๆ ล้อมรอบในย่านรองค์วู้ด ชานเมืองวุร์สเตอร์ ประเทศอังกฤษ ภายในห้องครัวที่คับแคบไปด้วยเคาน์เตอร์และเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอบอุ่น มีตู้ลอยเก็บจานชามที่ทำจากเนื้อไม้สีอ่อน เหนือบรรดาเคาน์เตอร์ตั้งพื้นสีน้ำตาลวอลนัตมีอุปกรณ์เครื่องครัวต่างๆ วางระเกะระกะจนแทบไม่เหลือพื้นที่ใช้สอยมากนัก บนเคาน์เตอร์มุมห้องมีโทรทัศน์รุ่นเก่าขนาดเล็กตั้งอยู่ เมื่อมองลอดผ่านหน้าต่างเหนืออ่างล้างจานเพียงบานเดียวในห้องครัว จะสามารถมองเห็นต้นแอปเปิลสองต้นที่ปลูกไว้ในสวนได้อย่างพอดี
โทรทัศน์เครื่องเล็กกำลังรายงานข่าวท้องถิ่นในเช้าวันจันทร์ เสียงแหลมเล็กแหวกอากาศดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของห้อง เครื่องปิ้งขนมปังร้องบอกว่าขนมปังร้อนกรุ่นพร้อมแล้วสองแผ่น
เด็กชายเจ้าของพวงแก้มกลม ผมสีบลอนด์เดินเข้ามาในห้องครัว เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเข้ากับเดือนมิถุนายน ต้นฤดูร้อนของอังกฤษ เขาพาดกระเป๋าเป้สะพายหลังที่เสาพนักพิงฝั่งหนึ่งของเก้าอี้ไม้ เดินอ้อมโต๊ะไม้ตัวใหญ่กลางห้องไปคีบหยิบขนมปังปิ้งสองแผ่นใส่จาน สองนิ้วที่ใช้คีบเมื่อครู่กำลังสะบัดไล่ความรู้สึกร้อน ในขณะที่สายตากลับจับจ้องอยู่กับการรายงานข่าวจากเจ้าโทรทัศน์เครื่องเล็กจิ๋ว
เสียงจากโทรทัศน์กำลังรายงานข่าวท้องถิ่นเกี่ยวกับคดีพิศวงที่เกิดขึ้นติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมา
"เรามาฟังความเห็นของ เอ็ดการ์ ท็อด หนึ่งในผู้เสียหายกันค่ะ"
"ผมไม่รู้ว่ามันจะเอาไปทำอะไร นี่มันยียวนกวนประสาทกันชัดๆ ผมเดาว่าคงเป็นไอ้พวกเด็กวัยรุ่นนิสัยเสีย อยากให้ตำรวจเอาตัวพวกมันมาสั่งสอนสักทีเหอะ"
หญิงวัยกลางคนรวบผมหางม้าสีน้ำตาลอ่อน ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้น และกางเกงผ้าสบายๆ เดินเข้ามาในห้องครัว
"แม่ดูนี่สิ ลุงเอ็ดการ์ก็โดนเหมือนกัน" เด็กชายชี้มือไปที่โทรทัศน์ แต่ตาและมือพะวงอยู่กับการละเลงเนยถั่วไปทั่วแผ่นขนมปังปิ้ง
"ใครนะ?"
"ลุงเอ็ดการ์ เจ้าของอู่ซ่อมรถไง"
"ทำไมล่ะ?" ผู้เป็นแม่ถามอีกครั้งอย่างไม่ใส่ใจ เธอกางหนังสือพิมพ์รายวันกลางโต๊ะอาหาร เด็กชายยัดแซนด์วิชขนมปังปิ้งไส้เนยถั่วเข้าปากไม่ตอบอะไร
"โจรขโมยต้นไม้? นี่มันอะไรกันเนี่ย??" เธอขมวดคิ้วใส่หนังสือพิมพ์ เด็กชายชะโงกหน้าดูกรอบคอลัมน์ข่าวที่สายตามารดาจับจ้อง
"แถวบ้านเราก็มีคนโดนเยอะแยะเลย แม่ฮะ ดูสิ ป้าไดอาน่าโดนขโมยพุ่มกุหลาบล่ะ" เด็กชายยัดคำสุดท้ายเข้าปากพลางหันไปมองการรายงานข่าวท้องถิ่นแบบลงพื้นที่
"บ้าน่า ขโมยอะไรกัน มันน่าจะเป็นโดนตัด หรือโดนทำลายอะไรแบบนั้นสิ??"
"แต่มันหายไปหมดเลยนะฮะ ทั้งรากด้วย" เด็กชายชวนให้ดูภาพที่ปรากฏบนจอ มันเป็นภาพของหลุมดินที่สภาพชวนคิดว่าพุ่มกุหลายถูกขุดนำออกไปทั้งต้น ขณะที่ทั้งสองกำลังงุนงงกับข่าวที่ถูกนำเสนอ เสียงกริ่งหน้าประตูบ้านก็ดังขึ้น
"ไปได้แล้วพอล วิลเลี่ยมมาแล้ว นั่นอะไรน่ะ หยุดกินได้แล้ว" ผู้เป็นมารดาเอ็ดลูกชายหุ่นเจ้าเนื้อที่ยังง่วนอยู่กับการล้วงผลเบอร์รีป่าในโหลแก้ว เด็กชายคว้าสตรอว์เบอร์รีป่าอีกกำมือ ก่อนคว้ากระเป๋าสะพาย รีบวิ่งออกประตูบ้านไป
"วิล นายได้ดูทีวีหรือเปล่า ข่าวว่ามีโจรขโมยต้นไม้ออกอาละวาดแน่ะ" พอลเดินคู่กับเด็กชายวิลเลี่ยม เพื่อนร่วมชั้นประถมหกรูปร่างผอมสูงผู้ไว้ผมสั้นเกรียนระหว่างทางไปโรงเรียน เขาชวนคุยเกี่ยวกับข่าวเมื่อเช้านี้ แต่ตัวเองก็ยังง่วนอยู่กับการกินสตรอว์เบอรี
"ดูสิ นายรู้ไหมว่าบ้านลูกพี่ลูกน้องฉันถูกขโมยต้นยูด้วย สุดยอดไปเลยเนอะ"
"โห ต้นยูถูกขโมยเหรอ สุดยอดเลย" พอลผิวปาก เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ต้นไม้ถูกขโมยทั้งต้น! แถมยังเป็นไม้ยืนต้นเสียด้วย!
"พอล นายว่าพวกหัวขโมยจะเอาต้นไม้ไปทำอะไร?"
"พวกเด็กโตแกล้งกวนประสาทหรือเปล่า ลุงเอ็ดการ์ เจ้าของอู่ซ่อมรถที่ถนนเมดเวย์ แกคิดว่างั้นแน่ะ" พอลตอบจากที่ดูข่าวสัมภาษณ์มาเมื่อเช้า
"จะใช่เหรอ บ้านญาติฉันอยู่อีกเมืองเลยนะ หัวขโมยน่าจะเป็นแก๊งเดียวกัน...แต่นั่นมันก็ไกลกันมากอยู่"
"ไม่รู้สิ เอ...บางที หรือว่าพวกหัวขโมยจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ติ๊งต๊องที่ทำการทดลองลับๆ อะไรอยู่ พวกนั้นอาจจะเอาไปวิจัยเกี่ยวกับพืชอะไรแบบนั้น"
"บ้าไปแล้ว พอล! ต้นยูไม่ได้หายากสักหน่อย แล้วมันจำเป็นต้องใช้ทั้งต้นเลยรึไง"
"ก็ใช่น่ะสิ ใครจะขโมยต้นยูไปขายกัน แล้วฉันก็ไม่คิดว่าการขโมยต้นยูไปอวดเพื่อนจะเจ๋งเท่าไร การกระทำบ้าๆ บอๆ มันก็ดูเข้ากันดีกับคำว่านักวิทยาศาสตร์ติ๊งต๊องนี่นา"
"ก็อาจจะจริงแฮะ" วิลเลี่ยมพยักหน้ายอมรับอย่างเสียไม่ได้
"ช่าย แล้วพวกนั้นก็เลยไม่มาขอไง เพราะรู้ว่าคงไม่มีใครให้ต้นไม้ทั้งต้นหรอก เลยต้องขโมย"
"แต่จริงๆ ปลูกเอาก็ได้นะ หรือไม่ก็ตัด... เอ๊ะ หรือว่าต้องใช้ทั้งต้นแบบมีชีวิต?"
"แล้วก็คงอยากได้แบบเร่งด่วน" พอลเสริมต่อจากวิลเลี่ยม
วันนั้นทั้งวันพอลกับวิลเลี่ยมช่วยกันสมมติความน่าจะเป็นว่า ต้นไม้ที่หายไปจะถูกนำไปทำอะไร แน่นอนว่าพอลและวิลเลี่ยมไม่ใช่นักเรียนที่ดีนัก แม้พวกเขาจะไม่ใช่เด็กเกเร พวกเขาเหมือนเด็กประถมหกทั่วๆ ไปที่แอบคุยกันระหว่างเรียน และแอบเขียนจดหมายส่งหากันบ้างตอนที่ครูหันหลังให้
พวกเขายังคงถกเถียงกันต่อหลังเลิกเรียนระหว่างเดินกลับบ้านกันสองคน อันที่จริงเมื่อตอนพักกลางวันเพื่อนๆ ในห้องของเขาเข้ามาเสนอความเห็นหลังจากได้ยินพอลกับวิลเลี่ยมคุยกัน
ปีเตอร์เข้ามาเสนอความคิดเห็นว่าน่าจะเป็นการทดลองสร้างมนุษย์ดัดแปลง
มนุษย์กับต้นไม้เนี่ยนะ มันอาจจะฟังดูเข้าท่าถ้าคุณมีมือและแขนเป็นแส้หนามของกุหลาบ แต่พอลกับวิลเลี่ยมคิดว่าไร้สาระเกินไปถ้าจะมีความสูง หรือผิวแข็งแบบเปลือกไม้ของต้นยู ถ้าจะเสริมความคงทนของผิวหนังจริงๆ ทำไมต้องต้นไม้? อย่างน้อยๆ เหล็กน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
'เพราะเหล็กไม่ใช่สิ่งมีชีวิตไง มันต้องเป็นการทดลองที่รวมร่างสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกัน คนกับต้นไม้ไง'
พอลกับวิลเลี่ยมคิดเหมือนกันคือ ปีเตอร์บ้าการ์ตูนฮีโร่มากไปหน่อย พวกเขาไม่เห็นด้วยกับสมมติฐานข้อนี้ เพราะถ้าต้องการความแข็งแรง การใส่ชุดเกราะป้องกันเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่าเยอะ
เจนนิเฟอร์บอกว่าเป็นการทดลองเพื่อความงาม โดยมีเหตุผลยึดติดอยู่เรื่องเดียวคือ
'กุหลาบต้องเป็นเรื่องของความงามและโรแมนติกอยู่แล้ว'
พอลไม่ได้เบื่อพวกเด็กผู้หญิงเหมือนที่วิลเลี่ยมเบื่อจนไม่อยากพูดคุยด้วย แต่พอลรู้สึกว่าความคิดของเด็กผู้หญิงช่างไร้สาระ เขาชอบฟังผู้หญิงที่โตแล้วพูดมากกว่า ไม่มีเด็กผู้หญิงชั้นประถมหกคนไหนน่าสนใจในสายตาพวกเขา เพราะพวกเขาคือเด็กผู้ชายที่มีความคิด ความสนใจต่างจากเด็กผู้หญิงเหล่านั้นนั่นเอง
แต่พอลก็เคยมีเพื่อนผู้หญิงที่เล่นด้วยกันบ่อยๆ พอลคุยกับเธอได้ทุกเรื่อง เธอพร้อมจะสนใจและเล่นสนุกไปกับเขา โดยไม่มองว่า 'พวกเด็กผู้ชายน่ะบ้า' แบบที่เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่คิด แต่เธอก็ย้ายบ้านไปนานแล้ว
และผู้หญิงอีกคนที่พอลมักจะเงียบฟัง แน่นอนว่าไม่ได้กำลังหมายถึงแม่ ผู้หญิงคนนั้นคือพี่สาวฝาแฝดของเขา เธอชื่อไพธ์
พ่อกับแม่ของพอลหย่ากันเมื่อสามปีก่อน พ่อและไพธ์ย้ายไปอยู่ที่เมืองเบอร์มิ่งแฮม เธอเป็นเด็กหญิงที่มีความคิดฉลาดหลักแหลมเกินตัว บางทีอาจจะเป็นเพราะติดนิสัยช่างคิดช่างสังเกตมาจากพ่อที่เป็นนักวิจัยก็เป็นได้
ระหว่างทางพอลกับวิลเลี่ยมเดินผ่านร้านขายผ้าของคุณนายสมิธ เธอกำลังคร่ำครวญเสียใจที่สูญเสียต้นไม้บนหน้าหลุมศพสามีที่เสียไป ซึ่งเธอตั้งใจปลูกมันไว้เพื่อรำลึกถึงสามีที่เธอรัก
อาจเพราะเห็นภาพของคุณนายสมิธคร่ำครวญถึงสิ่งสำคัญก็เป็นได้ พอลจึงรีบขอตัวกลับบ้านก่อน ทั้งที่นัดจะไปเล่นที่ฐานทัพลับในป่าเพอร์รี่ใกล้ๆ นี้
"กุหลาบผมล่ะฮะ" พอลกลับมาถึงบ้านยังไม่ทันถอดกระเป๋า ก็รีบถามหาต้นกุหลาบต้นน้อยที่เขาเคยอ้อนวอนขอคุณนายสมิธมาเลี้ยงกับแม่
ผู้เป็นแม่มีสีหน้าแปลกใจ
"อะไรกัน ปกติลูกไม่ดูดำดูดีมันนี่ นึกอยากจะเลี้ยงเองบ้างหรือไง ทั้งที่แม่ดูแลให้มาตลอด"
"อยู่ไหนฮะ" เด็กชายเร่งเร้ามารดาอีกหน
"ระเบียงหลังบ้านจ้ะ"
เด็กชายรีบไปดูที่ระเบียงหลังบ้านทันที
เขาไม่เคยดูแลมันเลยนอกจากสองสัปดาห์แรกที่เขากำลังเห่อหลังจากได้มันมาใหม่ๆ มันแตกต่างไปจากวันแรก วันที่เขารู้สึกว่าการมีต้นกุหลาบไว้ในครอบครองมันเจ๋งดี เลยไปออดอ้อนกับคุณนายสมิธ โดยให้สัญญาว่าจะไม่ทำมันตายเด็ดขาด
มันมีดอกเล็กๆ ไม่ค่อยสวยนักหนึ่งดอก ต่อให้เด็กอนุบาล ก็บอกได้ไม่ยากว่านี่เป็นต้นกุหลาบอ่อนแอ ดูขี้โรค แม่ของเขายังไม่ได้ย้ายมันลงดินในสวนอย่างที่ควรจะเป็น มันจึงดูเหมือนต้นกุหลาบง่อยๆ ในกระถางคับแคบ บ่งบอกถึงการดูแลแบบขอไปที ไม่ใช่วิสัยของพวกรักต้นไม้เท่าใดนัก
พอลตัดสินใจยกกระถางต้นกุหลาบที่หนักอึ้งเพราะดินในกระถาง เขาค่อยๆ แอบลัดเลาะยกขึ้นบันไดไม่ให้แม่รู้ แม่ต้องดุเขาแน่ๆ ที่เขาจะเอาต้นกุหลาบไปไว้ในห้องนอนตัวเอง
เขายอมรับไม่ได้ หากว่าเลโอน่าจะถูกขโมยไปเฉกเช่น ต้นไม้ของบ้านอื่นๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ ถึงเขาจะไม่ได้ดูแลมอบความรักให้มันเท่าใดก็ตาม แต่มันก็เป็นของๆ เขา และเขาจะไม่ยอมยกให้ใครแน่ๆ
เลโอน่า คือชื่อที่เขาตั้งให้กับมัน
ประการแรก ต้นกุหลาบและดอกไม้นั้นให้ความรู้สึกแบบหญิงสาว ดังนั้นมันจึงควรเป็นชื่อผู้หญิง
ประการที่สอง ตอนที่เขาเห็นมันที่บ้านคุณนายสมิธ ดอกของมันมีขนาดที่ใหญ่กว่าดอกไม้จากกระถางอื่นๆ ที่วางอยู่ด้วยกัน ดอกกุหลาบสีแดงสดดอกใหญ่เบ่งบานอวดความงามแบบฉบับสีแดงเข้มสุดลึกล้ำ
ตอนที่เขาเห็นมันครั้งแรก มันให้ความรู้สึกเหมือนเวลาที่คุณเจอลูกสุนัขมีแวว คุณจะรู้สึกว่า นี่แหละ สุนัขชั้นดีที่จะเหนือกว่าสุนัขเลี้ยงของใครๆ
และสำหรับพอล เลโอน่าช่างดูเป็นว่าที่นางพญาอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงตั้งชื่อมันว่า เลโอน่า ที่หมายถึงนางราชสีห์ แต่เขาก็ไม่เคยบอกใครเรื่องชื่อนี้ เพราะกลัวจะถูกหัวเราะเยาะที่ตั้งชื่อให้ต้นไม้ ไม่ว่าจะกับไพธ์หรือวิลเลี่ยม
พอลรีบลงมาเก็บกวาดเศษดินที่ร่วงหล่นจากก้นกระถางตามทางเดิน เขาคอยชะเง้อดูว่าแม่จะเข้ามาเห็นหรือเปล่า หลังจากนั้นเขาก็เข้าครัวมากินของว่างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"เป็นไง ต้นไม้ของลูก" แม่ของพอลกำลังนั่งอ่านเอกสารสำนวนคดีความจากงานนักกฎหมาย เธอเงยหน้าจากเอกสารถามลูกชาย
"ก็ดีฮะ" พอลตอบไม่สบตา ก้มหน้าก้มตาทาแยมส้มที่ขนมปัง
"รดน้ำรึยัง?"
"แม่ยังไม่รดเหรอฮะ?" พอลถามขณะที่เคี้ยวตุ้ยๆ อยู่เต็มปาก
"เดี๋ยวผมจัดการเอง" พอลรีบพูดขึ้นมา เพราะกลัวว่าแม่จะไปดูแลมัน และพบว่ามันหายไป
"เอ้อ แล้วผมจะรดน้ำในสวนให้ด้วย" พอลรีบว่าต่อ เพราะนึกขึ้นได้ว่าคงอีกพักใหญ่ที่เขาจะเก็บเลโอน่าไว้บนห้องนอนตัวเอง อย่างน้อยก็ผ่านช่วงโจรขโมยต้นไม้ไปก่อน ดังนั้นเขาจะให้แม่รู้ก่อนไม่ได้ว่ากุหลาบไม่อยู่ที่เดิม เขาไม่มีตัวเลือก เขาต้องรับหน้าที่ดูแลสวนไปก่อน
ผู้เป็นมารดาเลิกคิ้ว ดูฉงน กับท่าทีเด็กดีของลูกชาย
"วันนี้ไม่ไปเล่นกับวิลเลี่ยมเหรอ?" เธอเปลี่ยนเรื่องถาม
พอลยักไหล่ขณะที่ถือคำสุดท้ายก่อนยัดเข้าปาก
"ผมหิวฮะ"
ผู้เป็นแม่ขำลูกชายจอมตะกละ เธอเอื้อมมือมายีหัวลูกชายที่เคี้ยวแก้มตุ่ยอยู่เต็มปากอย่างเอ็นดู
เด็กชายร่างท้วมยืนติดกระดุมชุดนอนเม็ดสุดท้าย พลางมองไปที่ริมหน้าต่างห้องนอน ถึงนี่จะต้นฤดูร้อน แต่คนเจ้าเนื้อขี้ร้อนเช่นเขาก็เลือกที่จะเปิดหน้างต่างรับลมเข้ามา ส่วนต้นกุหลาบของเขาก็วางตั้งอยู่ที่พื้นริมหน้าต่างบานนั้นเอง
คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย แสงจันทร์ส่องสว่างผ่านเข้ามาถึงยอดต้นกุหลาบและพื้นห้องนอน ลมต้นฤดูร้อนพัดผ้าม่านผืนบางให้พริ้วไหว พอลขึ้นเตียงนอนเล็กๆ กว้างสามฟุตครึ่งของเขา เขานอนกอดผ้าแทนการห่ม เฝ้ามองต้นกุหลาบริมหน้าต่างที่แสงจันทร์สาดส่องลงมาเห็นยอดใบสีเขียวเล็กน้อย ก่อนจะผล็อยหลับไป
ถึงแม้จะเพิ่งต้นฤดูร้อน แต่ความอบอ้าวยามค่ำคืนก็ได้ปลุกให้พอลที่กำลังรู้สึกไม่สบายตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เขาสลัดผ้าห่มออก คว้านาฬิกาปลุกบนโต๊ะข้างหัวเตียงดูเวลา ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนสิบสามนาที
ก่อนที่พอลจะหลับตาลงอีกครั้ง ภาพห้องนอนของเขามันแปลกไปในความรู้สึก พอลจึงลุกขึ้นนั่ง แล้วเพ่งมองสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนของตัวเอง
ตู้เสื้อผ้าที่ปิดประตูไม่สนิทดีมีเสื้อนอกสีแดงแขวนอยู่ตัวหนึ่ง โต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยกองหนังสือและกระดาษสำหรับเขียนรายงานที่ทำค้างอยู่ กล่องใส่ของเล่นที่อยู่ระหว่างตู้เสื้อผ้าและโต๊ะมีเงาจากความมืดสลัวเป็นรูปร่างของกองของเล่นที่เก็บไม่หมดจนล้น บางชิ้นตกอยู่ที่พื้นด้านล่างข้างๆ กล่อง เหนือกล่องของเล่นมีราวตะขอสำหรับแขวน นวมสีแดงกับกระบอกใส่ลูกธนูถูกแขวนอยู่บนราวข้างๆ กระเป๋าเป้สะพายหลัง
พอลมองผ่านหน้าต่างที่แสงจันทร์ส่องเข้ามาจนเกิดเงาที่กลางพื้นห้องนอน ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง ตุ๊กตาล้มลุกเป่าลมขนาดใหญ่เก่าๆ อันนึงมองเห็นเป็นเงาตะคุ่มดูน่ากลัว ไม้พายที่พาดไปกับฝาผนังและรองเท้าสเกตที่พื้นด้านล่างยิ่งทำให้ตุ๊กตาล้มลุกดูคล้ายสัตว์ประหลาดใส่รองเท้าบูทถืออาวุธยาวน่ากลัว
มีบางอย่างแปลกไปจริงๆ เขาไม่แน่ใจนัก แต่ห้องนอนเขาดูแปลกไป พอลเอาผ้าห่มคลุมหน้าจนเหลือแต่ตา เขานอนนิ่งพยายามไล่ความคิดไร้สาระที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ในหัวให้ออกไป
แต่ขณะที่กำลังจะปิดเปลือกตาลงนั้น
เขาเห็นเงากำลังวูบไหวในความมืด!?
มันเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง พอลเพิ่งตระหนักได้ว่า สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในห้องนี้คือกระถางต้นกุหลาบ มันไม่ใช่การมีอยู่ของกระถางต้นไม้ แต่ตำแหน่งและรูปร่างของมันต่างหากที่แปลกไป
โคนกระถางมีเงาดินเป็นกองนูนสูงขึ้นมาผิดปกติ และเมื่อครู่นี้ พอลก็เห็นเงาดำวูบไหวเล็กน้อยตรงช่วงลำต้น
มันอาจจะโดนลมพัด พอลปลอบใจตัวเอง แต่เขายังคงขมวดคิ้วในความมืด
เนินดินนั่นมันอะไรกัน?
ขณะที่เขานอนนิ่งจ้องมองเงาดำของกุหลาบ แสงจันทร์ที่ส่องสว่างก็ส่องให้เห็นยอดส่วนใบของต้นกุหลาบ
ยอดของต้นกุหลาบ?? เดี๋ยวนะ เมื่อกี้นี้มันมองไม่เห็นส่วนยอดไม่ใช่เหรอ?? มันเป็นเงามืดๆ ทั้งต้นต่างหาก!
พอลใจเต้นโครมคราม แต่ร่างกายกับกลั้นหายใจไว้ด้วยความตื่นตระหนก บางทีอาจเพราะพระจันทร์เปลี่ยนตำแหน่ง...
แล้วพอลก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาจำได้ว่าก่อนจะนอนนั้นเขาเห็นแสงจันทร์ส่องผ่านเข้ามาเห็นส่วนยอดของต้นกุหลาบนี่? แล้วเขาก็ตื่นขึ้นมาเห็นแต่เงามืด...แล้วเมื่อกี้ยอดของมันก็โผล่ต้องแสงจันทร์!
เขาไม่กล้าหายใจ เพ่งมองไปที่ใบไม้ในแสงจันทร์เหล่านั้น
เลือดในกายของเขาเย็บเฉียบ ฉับพลันขนลุกซู่ไปทั่วเรือนร่าง เพราะขณะนี้เขากำลังเห็นดอกกุหลาบสีแดงสดในแสงจันทร์!
พระเจ้า! เลโอน่ากำลังเคลื่อนไหว! กุหลาบของเขากำลังยืดลำต้นชูสูงขึ้น!!
หัวใจของพอลสูบฉีดหนักหน่วง แต่เขาไม่อาจกลั้นหายใจได้อีกต่อไป เขาหลุดระบายลมหายใจออกมาเสียงดัง
ดอกกุหลาบหันขวับมาที่เขาทันที!
พอลอยากกรีดร้อง แต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดผ่านลำคอออกมา มันหันมาจริงๆ มันไม่มีหน้าตา ปาก หรือเครื่องหน้าใดๆ หรอก แต่ลักษณะที่มันชูดอกหันขวับมาทางเขาทันที มันเหมือนคนหันมามองไม่มีผิด!
ในความเงียบงันดอกกุหลาบสีแดงหันดอกจ้องเขาไม่เคลื่อนไหว พอลเองก็เช่นกัน เขาเกร็งตัวแข็งไปทั้งร่างนอกจากหัวใจที่เต้นระรัว ในหัวเขาก็ไม่มีเสียงความคิดใดๆ อย่างที่ควรจะเป็น
เขาเห็นโคนกระถางมีเงาเคลื่อนไหวเล็กน้อยหลังจากที่เลโอน่าไม่ยอมขยับและเอาแต่จ้องมองเขาอยู่เนิ่นนาน
เมื่อนั้นสมองเขาก็ทำงานอีกครั้ง เขาเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ว่าข่าวเกี่ยวกับการหายไปของต้นไม้ต่างๆ ที่ผ่านมา ไม่ใช่ถูกขโมย
มันต้องไม่ใช่แน่ๆ ... ต้นไม้เหล่านี้หนีไปเองต่างหาก!
ความเศร้าอย่างอ่อนไหวจู่โจมเกาะกุมหัวใจเขาในทันที ท่าทีของเลโอน่ากำลังฟ้องว่ามันกำลังแอบหนี ใช่...มันกำลังอยากหนีไป มันไม่ได้อยากอยู่ที่นี่ มันไม่ได้อยากอยู่กับเขา เขาไม่จำเป็นต้องถามตัวเองว่าเขาเป็นเจ้าของหรือคนดูแลที่ดีพอหรือยัง แค่สถานการณ์ที่มันกำลังจะหนีออกจากบ้านนี่ก็ฟ้องได้ชัดอยู่แล้ว
"ไปซะ..." พอลลุกขึ้นมาพึมพำเสียงกระซิบไปทางต้นกุหลาบ ราวกับกลัวว่าจะมีใครอื่นมาเห็นการแอบหนีในครั้งนี้
ราวกับมีจิตใจรับรู้ ดอกสีแดงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งใต้แสงจันทร์ เงาเนินดินที่โคนกระถางเริ่มสูงขึ้นจนปริแตก รากเป็นเส้นกำลังเคลื่อนไหวออกจากดินมาสู่อากาศ
พอลทั้งอึ้งและโศกเศร้าไปพร้อมๆ กัน เขาเฝ้ามองเลโอน่าที่ค่อยๆ ขยับลำต้นและรากเพื่อออกจากกระถาง เศษดินจำนวนมากหล่นเรี่ยราดออกมาที่พื้นด้านนอก
ดอกสีแดงสด ลำต้นและกิ่งก้านมีหนามสีเขียวชูชันเคลื่อนไหวใต้แสงจันทร์ มันชูกิ่งก้านเกี่ยวขอบหน้าต่าง ก่อนค่อยๆ ขยับเขยื้อนส่วนต่างๆ ของมันพยายามปีนข้ามผนัง
จนกระทั่งเลโอน่ายืนด้วยรากเปลือยไร้ดินตรงขอบหน้าต่าง แสงจันทร์ส่องสว่างก่อเป็นภาพแปลกประหลาด ลำต้นสีเขียวมีหนามของกุหลาบที่หยัดยืนด้วยรากเปลือยนั้นงดงามราวกับภาพวาด แต่มันกลับเป็นภาพชวนเศร้าบีบหัวใจสำหรับเขาเหลือเกิน
ดอกสีแดงนั่นหันมาทางพอลอีกครั้ง พอลโบกมือน้อยๆ ให้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง และแล้วเลโอน่าก็ทิ้งตัวลงจากหน้าต่างชั้นสองในห้องนอนของเขา
ต้นกุหลาบของเขาหนีออกจากบ้านไปแล้ว
เลโอน่าทิ้งเขาไปเสียแล้ว
ผู้แต่ง : Esta Em Maho
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | บ๊ายบาย เลโอน่า | 13 ก.พ. 59 |
2 | บนถนนแห่งความบ้าคลั่ง | 09 มี.ค. 59 |
3 | ชั่วโมงเรียนที่ 1 | 16 มี.ค. 59 |
4 | ชั่วโมงท้าดวล | 23 มี.ค. 59 |
5 | กระโจนสู่สมรภูมิ | 30 มี.ค. 59 |
บทนี้อ่านแล้วแอบขำไปหลายครั้ง > <
เรื่องนี้ค้นพบแล้วว่าชอบพวกเรื่องเกี่ยวกับไอเท็มต่างๆนะคับ
ชอบเรื่องการนำเสนอเกี่ยวกับพืช ดูรีเสิร์ชมาดี
ชอบธีมที่มนุษย์จะไปต่อสู้กับพืช
ดาวิษ ชาญชัยวานิช