EN12 OSTA SE ABRE
มีความผิดที่ลบล้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ อำนาจในมือไม่พอที่จะต่อต้านกฎหมายสินะ หาพวกเราให้เจอสิ บานประตูไม้สีซีดที่ซุกซ่อนอยู่ เปิดประตูเข้ามาแล้วเอ่ยเรียกหาพวกเรา โอตร้า เซ อาเบร์ จะลบล้างความผิดให้เอง
นัยน์ตาสีฟ้าทอประกายอยู่ในความมืด เสียงรอบข้างค่อยๆ เงียบลง มีเพียงเสียงย่ำของรองเท้าส้นหนักกับพื้นเหล็กด้านนอก และเสียงขานชื่อของผู้คุมที่ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงตอบรับ
"เอลมาร์" เสียงเรียกที่ได้ยินมาแล้วเป็นเวลาเกือบสามเดือนดังลอดประตูเข้ามา เขาลุกขึ้นจากเตียง ปรับแววตาให้ดูหมองหม่น โผล่ใบหน้าออกไปที่ซี่ลูกกรง ขานรับด้วยเสียงแหบ ไฟฉายส่องมาภายในห้อง ตวัดไปมาทั่วแบบลวกๆ แล้วก็เดินผละไป
ความเลินเล่อของผู้คุมที่ทำให้เขาขยะแขยง
แต่เพราะความเลินเล่อเหล่านี้ที่ทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น
เขาถอยกลับไปนั่งที่เตียง แววตาที่สะท้อนอยู่ในความมืดนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
'เอลมาร์' นั่งนิ่งอยู่แบบนั้นประมาณสิบนาที เสียงขานเรียกก็เงียบลงพร้อมกับเสียงแท่งเหล็กที่เคาะลงบนราวจับเหล็ก
"ไอพวกสวะ หมดเวลา รีบๆ นอนได้แล้ว ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรพิเรนทร์ละก็ ฉันจะจับช็อตให้ลืมแม้กระทั่งชื่อตัวเองไปเลย" เสียงที่พูดออกมาในความมืดเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
เขายังคงนั่งนิ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูใหญ่ของชั้นนี้
ริมฝีปากขยับยกยิ้ม มือหนาเอื้อมลงไปหยิบของที่ซุกซ่อนที่ใต้เตียงออกมา
'ถึงเวลาของ เซอิส แล้ว'
รอจด์รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเพิ่งจะหลับตาไปได้ไม่นานตอนที่ได้ยินเสียงขลุกขลักเข้ามาในโสตประสาท นัยน์ตาดำขลับเปิดโพลง ในใจก็นึกถึงพวกเด็กใหม่ตัวแสบที่ริอาจจะลองดีกับผู้คุม
เขาพ่นลมหายใจยาวออกมา
หากผู้คุมโมโหจะลงโทษตัวการก็จริง แต่คนอื่นในชั้นก็มักจะโดนไปด้วย เขาจึงเบื่อเจ้าเด็กแสบจอมป่วน
'พรุ่งนี้ชวนเอลมาร์มาเชือดไก่ให้ลิงดูสักตัวดีกว่า' เอลมาร์คือนักโทษที่อยู่ห่างจากเขาไปสี่ห้อง หมอนั่นเพิ่งเข้ามาได้แค่สามเดือน แต่ความโหดนั้นทำให้เขาประทับใจมาก
เสียงขลุกขลักดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้เขามั่นใจว่าได้ยินมาจากท่อระบายอากาศบนฝ้าเพดานสูง
คิ้วหนาขมวดมุ่น
เสียงแกรกๆ ดังมาอีกรอบ
เขาใจเย็นไม่ไหวอีกแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นมาจากเตียง ตระแกรงระบายอากาศก็ถูกถีบให้เปิดออก นัยน์ตาสีฟ้าทอประกายสว่างในความมืด ยังไม่ทันที่เขาจะตั้งตัว ร่างของเขาก็ถูกโถมทับให้ล้มลงไปนอนกับเตียง
นัยน์ตาถูกมือใหญ่ปิดไว้จนมองไม่เห็นสิ่งใด ริมฝีปากก็ถูกบางสิ่งบางอย่างยัดเข้ามาจนส่งเสียงไม่ได้
ชั่วพริบตาที่เขากำลังรู้สึกงุนงง ร่างทั้งร่างก็โดนพลิก สัมผัสแหลมคมทิ่มแทงเข้าไปที่แผ่นหลังบริเวณใกล้กับไขสันหลัง
รอจด์รู้สึกคลื่นไส้ บางสิ่งบางอย่างในร่างกายเขากำลังถูกดูดออกไป
"โทษทีนะรอจด์ แต่มันเป็นงานน่ะ" เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัว เขาจำได้ว่าคือเสียงของเอลมาร์
"จำเสียงฉันได้สินะ" คนที่อยู่เหนือหัวเขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ บริเวณแผ่นหลังของเขายังรู้สึกร้อนผ่าว ความรู้สึกวิงเวียนเพิ่มทวีคูณ
มือเย็นเยียบจับเข้าที่หลังคอ
"แต่เดี๋ยวนายก็ลืม" ออกแรงบีบเพียงแค่แผ่วเบา สติของนักโทษหนุ่มก็เริ่มเลือนหาย สัมปชัญญะแทบไม่เหลืออยู่ สุดท้ายแล้วแม้แต่ความเจ็บปวดเขาก็จำไม่ได้
มือใหญ่ดึงเข็มฉีดยาออกจากแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยกล้ามมัด นัยน์ตาสีฟ้ามองคนที่หลับสนิทไปแล้วพร้อมกับยกยิ้มเหี้ยม
เขาพลิกดูของในมือ หลอดเข็มฉีดยาอัดแน่นไปด้วยของหนืดสีเหลืองขุ่น
'ก็ไม่เลวเท่าไรนี่นา'
ท่ามกลางความมืดมิดแววตาสีฟ้าใสทอประกาย ร่างแกร่งกระโดดลงมาจากช่องระบายอากาศบนฝ้าเพดานสูง ห้องขังของเอลมาร์ยังคงเงียบกริบ
เซอิสย่อตัวลง ภายในห้องที่ไม่มีแสงไฟนั้นสว่างไสวเมื่อเขาสวมแว่นตาชนิดพิเศษ มือหนาดึงกระเป๋าขนาดเล็กออกมาจากใต้เตียง เก็บเข็มฉีดยาที่บรรจุของหนืดสีเหลืองขุ่นลงในช่องเก็บของของกระเป๋า เสียงผิวปากแผ่วเบาดังออกมาเมื่อเห็นหุ่นพลาสติกรูปคนขนาดฝ่ามือในกล่องนั้น บนหัวของหุ่นมีจุกพลาสติกใสอุดอยู่
"เอลมาร์ก็เงินถึงเหมือนกันนี่นา" เขาพึมพำ บรรจงวางหุ่นพลาสติกบนเตียง ปิดกระเป๋าให้เรียบร้อยจับสายสะพายมาคาดไว้ที่เอวเพื่อการเคลื่อนไหวที่สะดวกสบาย
นัยน์ตามองไปรอบห้องอีกรอบ
ชีวิตในคุกสามเดือนที่ผ่านมาก็สนุกไม่ใช่น้อย
ร่างสูงโค้งตัวลง
"ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง เซอิส ขอลา" เขาดึงจุกพลาสติกออก เกิดเสียงลมฟู่ท่ามกลางความเงียบงัน ร่างสูงแกร่งยืนเงียบ เงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวภายนอก แม้เสียงประหลาดนี้จะดังอยู่เพียงไม่กี่วินาทีแต่ก็อันตรายเกินกว่าจะประมาทได้
หลังจากยืนเงียบอยู่ห้านาที เสียงที่ได้ยินมีเพียงแต่เสียงกรนของห้องข้างๆ
เขาระบายรอยยิ้ม โค้งตัวให้กับคุกที่ไร้ความยุติธรรมและเต็มไปด้วยความขยะแขยง
เขาห่มผ้าให้ 'เอลมาร์' ที่ไร้ลมหายใจอยู่บนเตียง ดีดจมูกโด่งนั้นอย่างหยอกเย้า
"บ้ายบายนะ" พูดจบก็กระโดดตัวสูง หายตัวไปในช่องระบายอากาศบนฝ้าเพดานสูงนั้น
วันนี้ภายในเมืองยังคงคึกคักเหมือนเดิม ชาวบ้านเดินซื้อของกันขวักไขว่ เสียงพูดคุยกันตามประสายังคงได้ยินมาตลอดทาง หญิงชายในชุดสบายๆ กับชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทแบบผู้มีอิทธิพลเดินสวนกันไปมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดา
นี่คือเมืองบลังกา
เมืองขนาดกลางในดินแดนเดียวของโลกยุคใหม่ ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า ซัมเมลน
เมืองสีหม่นที่ไร้ซึ่งความยุติธรรม เกินกว่าครึ่งคือผู้มีอิทธิพลที่ทำเลวจนเป็นวิสัย ทว่ากลับเดินเฉิดฉายอยู่ในเมืองราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
นี่แหละเมืองบลังกา ความอยุติธรรมสีขาว
ชายหนุ่มในชุดสูทเนี้ยบเดินยืดตัวตรงท่ามกลางผู้คน นัยน์ตาถูกซุกซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นตาดำ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเห็นว่านัยน์ตานั้นกำลังหลุกหลิกเพียงใด
หมายศาลที่ถูกส่งมาเมื่อสามวันก่อนทำให้เขาหวาดระแวง
ตำรวจของบลังกายังคงทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง ส่งหมายศาลเรียกตัวไปยังผู้ทำผิด แต่มักจะขี้เกียจอย่างกะทันหันเมื่อได้รับเงินล้านยูนิตพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมของผู้มีอิทธิพล หรือ หญิงสาวรอยยิ้มหวานที่มาพร้อมกับร่างกายอวบอัดและเงินอีกกองโต
เขาขบริมฝีปากแน่น
เงินล้านยูนิตเขามีเพียงพอ แต่สิ่งที่เขาไม่มีคือรอยยิ้มที่คนเหล่านั้นต้องการ
ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ในเมื่อตัวเขาเองไม่มีความสามารถเพียงพอ ในเมืองๆ นี้ ยังมีหนทางอีกมากมายที่ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากกระดาษแผ่นเล็กที่มีปั๊มตราราชการแผ่นนั้น
เขากำลังตามหาที่แห่งนั้นอยู่
"นี่เธอ ได้ยินบ้างหรือเปล่า" เสียงแหลมของหญิงสาวคนหนึ่งดังเข้ามาในหู เกิดเสียงฮือฮาของผู้คนด้วยความสนใจ เขาพยายามไม่ใส่ใจ
"จำเอลมาร์ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอำนาจไปต่อกรกับตำรวจแล้วโดนจับเข้าคุกไปได้หรือเปล่า" สมาธิของเขาแตกกระเจิง สำหรับเมืองนี้คนที่ทำความผิดแล้วไม่ได้เข้าคุกเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นเมื่อสามเดือนก่อน ตอนที่เอลมาร์ ฆาตกรต่อเนื่องสิบศพถูกจับตัวเข้าคุกจึงเป็นที่ฮือฮาของประชาชนมาก
"จำได้ๆ ทำไมหรอ"
"เมื่อเช้ามีคนพบศพนอนตายอยู่บนเตียง" ชายหนุ่มในชุดสูทสะดุ้งเฮือก นัยน์ตาคมเบื้องหลังกรอบแว่นเบิกกว้าง
"น่าจะมีเรื่องกับใครสักคน เห็นบอกว่านอนตาเหลือกเลยนะ จับมือใครดมก็ไม่ได้ พวกเธอก็รู้ว่าพวกผู้คุมในคุกสนใจเสียที่ไหนว่านักโทษจะตายเพราะใคร พอเจอศพก็แค่ปาลงทะเลก็จบแล้ว"
เขาขบริมฝีปากแน่น ขยับขาที่สั่นระริกก้าวเดินไปข้างหน้า หัวใจพลันสั่นไหวไปหมด
'ไม่จริงน่า เขาจะไม่มีทางมีจุดจบเหมือนไอบ้าเอลมาร์นั่นแน่ๆ!' มือหนากำแน่น
'ต้องหาให้เจอ ต้องหา โอตร้า เซ อาเบร์ ให้เจอ!'
บรรยากาศสีหม่นในเมืองที่มีนามว่าสีขาว ความชั่วร้ายของบลังกาสนับสนุนเพียงแต่คนที่มีอิทธิพลมากเพียงพอ เหล่าคนเลวที่มีเพียงเงินทองไม่สามารถฉีกกฎของตำรวจได้
เป็นที่รู้กันในวงการมืดถึงองค์กรๆ หนึ่ง องค์กรปริศนาที่ช่วยเหลือคนผิด ขอเพียงแค่มีเงิน
องค์กรลึกลับที่ถ้าไม่หาจะไม่เจอ ถ้าไม่พยายามจะไม่มี
'โอตร้า เซ อาเบร์'
นัยน์ตาเบื้องหลังกรอบแว่นมองซ้ายขวาตลอดทางที่เดินผ่าน โอตร้า เซ อาเบร์ไม่เคยมีตำแหน่งปรากฏที่ตายตัว บางวันปรากฏตัวทางเหนือ บางวันปรากฏตัวทางใต้ หรือบางวันอาจจะไม่ปรากฏตัวมาเลย
ทว่า องค์กรนี้จะมีหน้าร้านที่เป็นเอกลักษณ์
เขาตามหาหน้าร้านนี้มาสามวันแล้ว นับตั้งแต่ได้หมายศาลมา เขาก็อยู่ไม่สุข ต้องมาเดินหาทุกวัน แต่ก็คว้าน้ำเหลว
กลิ่นของบางสิ่งบางอย่างลอยมาแตะจมูก เขาชะงักขา หันใบหน้าไปมอง ตรอกเล็กในเมืองที่เขาไม่เคยสังเกตมาก่อน มีควันบางอย่างลอยออกมา กลิ่นที่เย้ายวนเรียกให้สติของเขาล่องลอย ขายาวก้าวเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ตรอกที่แคบและมืดไม่ทำให้เขาสนใจได้เลย เขาเพียงแต่เดินตามกลิ่นเข้าไป จนกระทั่งไปหยุดที่ปลายตรอก
เขาเบิกตากว้าง ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่เขาตามหา เอกลักษณ์ของโอตร้า เซ อาเบร์ที่เคยได้ยินแต่ชื่อ
บานประตูไม้สีเทาหม่น
ห่วงเหล็กคล้องประตูรูปตัวโอ
ป้ายไม้สวยสลักถ้อยคำให้กำลังใจ
มือหนาผลักบานประตูเข้าไป ในร้านที่เงียบสงบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่เรียกให้เขามาหา กลิ่นของกาแฟที่เขาเพิ่งเคยได้กลิ่นเป็นครั้งแรก
ที่หลังเคาน์เตอร์มีชายหนุ่มคนหนึ่ง นัยน์ตาสีทองมองมาที่เขาพร้อมกับขยับรอยยิ้มกว้าง "สวัสดีครับ ร้านกาแฟของเรายินดีต้อนรับครับ"
ชายหนุ่มในชุดสูทเดินเข้าไปหา มือแกร่งถอดแว่นตาดำออก เผยนัยน์ตาหม่นแสนหลุกหลิกออกมา
เจ้าของร้านยังคงยิ้มกว้างให้เขาที่ยืนกระสับกระส่ายอยู่ เขาขยับริมฝีปากที่สั่นระริก หัวใจยังคงเต้นระรัวด้วยความดีใจที่เจอเป้าหมายที่ตามหา
เขาหลุดรอดพ้นจากความผิดแล้ว ขอเพียงเขาเปิดประตูเข้าสู่โอตร้า เซ อาเบร์ ได้ ขอเพียงเขาเอ่ยถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ ประตูองค์กรก็จะเปิดออก
"Cuando una puerta se cierra, otra se abre!" เขาเอ่ยออกไปรวดเดียว รอยยิ้มของเจ้าของร้านแปรเปลี่ยนไป นัยน์ตาสุขุมสีเหลืองทองแวววับ
พื้นที่เขายืนอยู่สั่นสะเทือน
เขาหันใบหน้าไปมาด้วยความตกใจ พื้นกำลังขยับลง ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหา รู้ตัวอีกทีรอบข้างก็มืดมิด สิ่งที่เห็นมีเพียงนัยน์ตาสีทองของเจ้าของร้านที่ทอประกายอยู่ตรงข้าม
เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับเขาที่กำลังร้อนรน กว่าพื้นจะหยุดขยับ เขาก็เหงื่อออกไปทั้งตัว
แสงไฟสว่างวาบ ชายหนุ่มปริศนายังคงยืนอยู่ที่เดิม
"ยินดีต้อนรับเข้าสู่โอตร้า เซ อาเบร์ครับ คุณวิลเฮม"
คอมเมนท์สุดท้าย ขออนุญาตแนะนำเรื่องสำนวนการเขียนซักหน่อยนะครับ : )
เรื่องนี้มีอยู่ 2 จุด ที่ถ้าแก้ไขแล้วสำนวนการเขียนจะดีขึ้นทันตาเห็น
1. พยายามใส่ประธานเข้าไปในประโยคด้วยนะครับ
เช่น:
[ได้ยินเสียงปืน สังเกตจนรู้ว่าเขาอยู่ในอาคารนี้]
- แม้ว่าถ้าอ่านต่อเนื่องมาจากย่อหน้าก่อนๆ ผู้อ่านย่อมรู้ว่านี่พูดถึงใคร
แต่อย่างไรก็ตาม ในการขึ้นย่อหน้าใหม่ ยังไงก็ควรใส่ประธานเข้าไปด้วยนะครับ
ไม่งั้นจะเกิด 'ภาพแหว่ง' ในหัวผู้อ่าน ทำให้สะดุด/ ติดขัด
[นัยน์ตาสีเหลืองทองหรี่ต่ำ พยายามรวบรวมความคิดให้กลับมาเข้าที่]
- ตรงนี้ก็เป็นช่วงขึ้นย่อหน้าใหม่เช่นกัน
กรณีเดียวกันเลยครับ
พอเราละประธานที่เป็นบุคคลไป
กลายเป็นว่า สิ่งที่ [พยายามรวบรวมความคิดให้กลับเข้าที่] นั้นก็คือ 'นัยน์ตา' ไม่ใช่เจ้าของนัยน์ตา
2. เป็นคนที่เขียนอากัปกิริยาของตัวละครละเอียดมากนะครับ
ซึ่งงานเขียนเป็นสิ่งที่ประหลาดอย่างหนึ่ง
ยิ่งเราเขียนน้อย ผู้อ่านจะได้ภาพมาก
แต่ถ้าเราเขียนมาก ผู้อ่านจะได้ภาพน้อย
> <
หวังว่าคอมเมนท์ครั้งสุดท้ายนี้จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช