EN11 หลุยส์ เลตเทรต์ กับสมุดบันทึกความทรงจำโลก
หลุยส์ เลตเทรต์...เบื้องหน้าเขาคือ ?บุรุษไปรณีย์? ผู้ซื่อตรง แต่เบื้องหลังเขาคือ ?นักสืบมากเล่ห์? ไม่มีเนื้อความในจดหมายใดหลุดลอดสายตาเขาไปได้ ความลับของทุกคนอยู่ในมือเขาแต่เพียงผู้เดียว
ตอนที่ 0 ความลับ
ห |
ากจะว่ากันด้วยเรื่องความลับ ผมสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่จบไม่สิ้น และคงต้องใช้กว่าค่อนวันในการบอกใครก็ตามที่ทนฟังว่า ความลับเหล่านั้นคืออะไร และใช้เวลาต่ออีกหลายชั่วโมง ซึ่งนานพอที่จะทำให้คนเหล่านั้นพลาดดินเนอร์สุดหรูในภัตตาคารเจอนัวร์ หรือพลาดนัดสำคัญกับเพื่อนที่ลานน้ำพุ และอาจจะทำให้พวกเขานอนไม่หลับไปอีกหลายคืน
นั่นเพราะ...ผมเข้าใจมัน และในเมืองนี้ก็มีคนเพียงไม่กี่คนหรอกที่เข้าใจในสิ่งที่ผมเข้าใจ
“ความลับไม่มีในโลกหรอกรู้ไหม” ผมกล่าวออกไป ขณะนั่งสาธยายเรื่องความลับให้เด็กชายเกเรสองคนฟังที่ลานกลางเมือง
“ไม่จริงหรอก” เด็กชายคนแรกแย้งขึ้นมา
“จริงสิ ทำไมนายถึงว่าไม่จริงล่ะ” ผมถาม
“อย่างน้อยก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันเพิ่งทำอะไรลงไป นี่ล่ะความลับ”
สำหรับผม ความลับมีอยู่สองประเภท ประเภทแรก...ความลับที่เป็นปัจเจก คือ ความลับที่ทุกคนพยายามปิดบัง ไม่ให้คนอื่นรู้ เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้ามันถูกแพร่งพรายออกไปแม้กับคนคนเดียว มันก็จะกลายเป็นความลับประเภทที่สอง...ความลับที่ไม่เป็นปัจเจก คือ เรื่องที่มีคนรู้มากกว่าหนึ่งคน ไม่ใช่เพียงแค่เรารู้
สำหรับความลับของเด็กชายคนนี้น่าจะเป็นประเภทที่สอง เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่เพื่อนของเขาจะไม่รู้ว่าเด็กชายคนนี้คิดจะทำอะไรในเวลานี้
“งั้นรึ” ผมยิ้มเยาะ สิ่งหนึ่งที่ผมลืมบอกไป นิยามที่ว่า ความลับไม่มีในโลก นั้นใช้ได้กับคนอย่างผมเท่านั้น “มันอาจจะเป็นอย่างที่นายว่านะ สำหรับเงินจำนวนไม่น้อยเลยที่นายแอบหยิบออกมาจากกระเป๋าตังค์แม่ เพื่อจะไปซื้อขนมหรือไปแอบดูโอเปร่าที่โรงละคร ซึ่งห้ามบุคคลอายุต่ำกว่าสิบห้าเข้าไป”
ผมสังเกตเห็นสีหน้าของเด็กชายที่ซีดเผือดขึ้นมาเล็กน้อย ธนบัตรสองสามใบยับยู่ยี่อยู่ในมือที่กำแน่นขึ้นของเขา ก่อนที่จะหยิบนาฬิกาพกทองเหลืองขึ้นมาดู เข็มสั้นและเข็มยาวบอกว่า นี่เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว และละครโอเปร่ากำลังจะเริ่มแสดง
“อย่าเครียดไปน่า ฉันไม่เอาไปฟ้องแม่ของพวกนายหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าบ้านนายอยู่ที่ไหนก็ตาม จะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ” ผมว่า เด็กทั้งสองคนจึงรีบหันหลังวิ่งจากไป พวกเขากำลังมุ่งตรงไปยังอาคารหลังใหญ่ที่พราวระยับราวกับพระราชวัง ที่ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกเลื่องชื่อ มันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเมืองนี้ แสงไฟที่ลอดออกมาจากหน้าต่างโมเสกบานยาวสว่างไสว ขณะที่วงดนตรีซิมโฟนีออเคสตร้าเริ่มบรรเลงขึ้นอย่างช้าๆ
ที่นั่นคือ โรงละครที่ผมว่า
และที่นั่นคือ ที่ที่ผมกำลังจะไป
ตอนที่ 1 บุรุษไปรษณีย์ผู้มากความ
ผ |
มขอแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการเสียก่อน ผมชื่อว่า...หลุยส์ เลตเทรย์ ผมค่อนข้างเป็นคนเก็บตัว ทำให้มีน้อยคนนักที่จะรู้จักมักคุ้นกับผม นอกจากเพื่อนพี่น้องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแล้วก็คงไม่มีใครอื่น อีกทั้งเมืองบีตส์เบิร์กที่ผมอาศัยยังเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ อาณาเขตด้านตะวันออกทั้งหมดทอดยาวเลียบไปกับหาดบีตส์ชู้ด ท่าเรือน้ำลึกคึกคักตลอดทั้งเวลากลางวันและกลางคืน การคมนาคมไปมาระหว่างคนต่างเมืองเกิดขึ้นไม่ขาด ไม่แปลกที่ประชากรของเมืองนี้จะหนาแน่น แล้วใครเล่าจะมาสนเด็กหนุ่มอายุสิบแปดธรรมดาๆ อย่างผม ที่สำคัญกว่านั้น...
ผมเป็นบุรุษไปรษณีย์
สิ่งนี้ยิ่งทำให้ผมไม่เป็นที่น่าสนใจกับอาชีพที่น้อยคนนักใคร่จะทำ และคงไม่มีใครสนว่าบุรุษไปรษณีย์จะเป็นหรือตาย ซ้ำยังต้องทนฟังกระแสวิพากษ์ของสังคมที่ว่า...จดหมายส่งผิดบ้าน หรือเอกสารงานสำคัญหาย หรือไม่ได้รับพัสดุ แต่ถึงจะอาศัยอยู่ภายใต้แรงกดดัน ผมก็มีความสุข
หากคุณนึกภาพของเมืองบีตส์เบิร์กไม่ออก ก็ลองเนรมิตกรุงลอนดอนขนาดย่อมขึ้นมา เมืองนี้มีความต่างออกไปเล็กน้อย แม้จะไม่ใหญ่เท่า แต่ก็หรูหราไม่แพ้กัน
ตอนนี้ผมกำลังปั่นจักรยานด้วยความเร็ว 5 ไมล์ต่อชั่วโมง ก่อนจะใช้เท้าชะลอความเร็วกับพื้นถนน แล้วหยอดซองจดหมายสีขาวมุกลงกล่องไปรษณีย์หน้าบ้านหลังหนึ่งในเวลาเจ็ดนาฬิกาของวันนี้ ผมขับจักรยานเลี้ยวอ้อมไปจอดด้านหลังพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เพียงไม่นาน ก็มีชายร่างท้วมคนหนึ่งเดินออกมาเพื่อรับจดหมายที่เพิ่งส่งมาถึง
หากผมไม่ได้เฝ้ามองว่า เจ้าของจดหมายได้รับจดหมายของเขาแล้ว
และผมก็ไม่ได้รอคอยว่า ลูกสาวของชายผู้นี้ (ซึ่งสวยมาก) จะเป็นคนออกมารับจดหมายเอง ซึ่งอาจทำให้ผมต้องฝันเฟื่องว่า ผมคือโรมิโอ และเธอคือจูเลียต
ชายร่างท้วมเปิดจดหมายออกอ่านที่ข้างกล่องไปรษณีย์นั้นเอง และนั่น...เวลาของผมก็มาถึง
“สวัสดีครับ คุณออกซ์ฟอร์ด” ผมเดินเข้าไปกล่าวทักชายคนนั้น
“อ้าว ว่าไง...พ่อหนุ่มไปรษณีย์” คุณออกซ์ฟอร์ดทักตอบด้วยท่าทียิ้มแย้ม ความจริงแล้ว เขาไม่ได้รู้จักผมเป็นการส่วนตัวหรอก เพียงแค่มองลักษณะการแต่งตัวของผมก็รู้แล้วว่าผมเป็นใคร คุณออกซ์ฟอร์ดถามผมต่อว่า “นี่มาตรวจสอบว่า ลูกค้าได้รับจดหมายถึงมือหรือเปล่า งั้นรึ”
“ครับ เพื่อให้แน่ใจว่าการบริการของผมจะไม่มีความบกพร่องใดๆ ผมเริ่มเบื่อกับคำสบประมาทต่างๆ ที่ส่งมายังที่ทำการไปรษณีย์แล้ว” ผมตอบออกไปหน้าตาย ก็อย่างที่บอกไปในตอนต้น นี่ไม่ใช่จุดปะสงค์ของผมที่หยุดจักรยานไว้ที่บ้านหลังนี้
“แล้วมีอะไรอื่นอีกหรือเปล่าล่ะ” คุณออกซ์ฟอร์ดถามต่อ
“อ่อ ครับ มีสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผู้ส่งไม่ได้ติดแสตมป์ลงบนจดหมาย และผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าควรทำเช่นไร” ผมบอกไป อย่างที่ว่า...จดหมายของคุณออกซ์ฟอร์ดนั้นเกลี้ยงเกลาดีแท้ ผมถูนิ้วมือเบาๆ ระหว่างนั้น ความเหนียวของกาวจากแสตมป์ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นักยามแกะมันออกจากซอง
“อ่ะ...จริงด้วย ให้ตายสิ”
ถ้าผู้ส่งมิได้ติดแสตมป์ ปลายทางจะต้องถูกปรับเงิน นั่นเป็นเรื่องธรรมดา ถึงกระนั้นมันก็เป็นเงินเพียงไม่กี่เหรียญ แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ค่าปรับ หากอยู่ที่ตัวผู้รับจดหมายต่างหาก
โดนาล ออกซ์ฟอร์ด เป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสในสถาบันการเงินโวฟามิงโก้ของเมืองบีตส์เบิร์ก หากใครมีปัญหาทางด้านการเงิน เขาพร้อมจะช่วยเหลือทุกอย่าง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อคุณออกซ์ฟอร์ดจะเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของเมืองนี้ เขาพบปะคนชั้นสูงน้อยใหญ่เป็นว่าเล่น แต่นิสัยของเขานั้นเป็นมิตรแก่ทุกคน และทุกคนก็หวังจะให้เขาลงสมัครเลือกตั้งนายกเทศมนตรีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ทว่า...ใครจะเป็นคนดีสักแค่ไหน ก็ย่อมมีความลับ
ขณะที่คุณออกซ์ฟอร์ดหยิบยื่นเหรียญให้นั้นเอง ผมก็แสร้งทำทีค้นหาของไปทั่ว ก่อนที่แขนจะปัดไปโดนมือของคุณออกซ์ฟอร์ด ทำให้เหรียญเงินตกลงพื้นไป ตามสัญชาตญาณของมนุษย์ เมื่อของตกก็มักจะก้มลงไปเก็บในทันที กรณีนี้ก็เช่นกัน คุณออกซ์ฟอร์ดก้มลงไปเก็บเหรียญ และผมก็ก้มลงไปพร้อมกัน
อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ มักเกิดขึ้นได้เสมอ หัวผมไปโขกกับหัวคุณออกซ์ฟอร์ดเข้าขณะกำลังก้มลงไป “ขอโทษครับ” ผมพูดขอโทษขอโพยไปอย่างรีบร้อน “เดี๋ยวผมเก็บเองครับ” สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้คุณรู้ก็คือ บางทีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่านี้ อาจจะส่งผลที่ยิ่งใหญ่ตามมา หรืออาจจะมีอะไรบางอย่าง...หายไป
“ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ คุณออกซ์ฟอร์ด ยังมีจดหมายที่ต้องส่งอีกมากทีเดียว” ผมเอ่ยลาพลางโค้งคำนับ ผมกลับไปยังจักรยาน และเริ่มปั่นมันออกไป เมื่อคุณออกซ์ฟอร์ดเดินกลับเข้าบ้านไปแล้ว ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น เขาคงจะรู้ว่ามีอะไรบางอย่างหายไปจากตัวเขา
มีจดหมายอีก 27 ฉบับที่ผมต้องส่งในเช้าวันนี้
จดหมาย 27 ฉบับที่มีหน้าตาเหมือนกันกับจดหมายของคุณออกซ์ฟอร์ด
ผมหยิบแหวนทองเหลืองขึ้นมาดู ที่หัวของแหวนมีรอยสลักเป็นรูปตราสัญลักษณ์ประหลาด แน่นอน นี่เป็นของแหวนของคุณออกซ์ฟอร์ด แต่ผมไม่ได้คิดจะขโมยของของใครหรอกนะ เพียงแค่ยืมมาเท่านั้น ถ้าคิดจะสงสัยว่า ผมเอามันมาทำอะไรล่ะก็ คงเป็นเรื่องยากที่จะบอก
เพราะบางที...บุรุษไปรษณีย์ก็มีความลับของเขาเหมือนกัน
ภายในกลุ่มเด็กกำพร้าที่สถานรับเลี้ยงนั้น เรียกได้ว่า ผมมีความกะล่อนเป็นที่หนึ่ง ความเจ้าเล่ห์เป็นที่สอง และมีความซุ่มซ่ามไม่เป็นรองใคร ทั้งสามอย่างนี้เป็นผลพวงมาจากความลับของผมทั้งสิ้น ความลับที่ว่านี้เป็นความลับที่เป็นปัจเจก ความจริงแล้ว ถ้าคุณได้มาเยือนบ้านผมสักครั้งก็อาจจะเดาได้ว่าผมเป็นใคร...อะไร...และยังไง
มีร้านเหล้าเล็กๆ ร้านหนึ่งที่ชื่อว่า เดอะ สกาลาจ ตั้งอยู่บริเวณริมชานเมือง ถึงกระนั้นถนนหน้าร้านก็เป็นเส้นทางที่มีผู้คนเดินวนเวียนสัญจรไปมาเยอะที่สุด ที่นี่ไม่ใช่บ้านของผมหรอก แต่ผมอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาของร้านเหล้าแห่งนี้
ผมเป็นคนมีความลับ และร้านเดอะ สกาลาจ เองก็มีความลับเช่นกัน
ผมมาถึงที่นี่ในเวลาเที่ยงวัน ถ้ามองเข้าไปภายในร้านตอนนี้ คุณจะเห็นว่าคนอยู่ข้างในประมาณเจ็ดแปดคนได้ ซึ่งคุณอาจจะสงสัยว่า คนเหล่านี้มาทำอะไรที่ร้านเหล้าในเวลากลางวัน เพราะร้านเหล้ายังไม่น่าจะเปิดทำการ ผมจะบอกให้ว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในความลับของร้านเดอะ สกาลาจ หากคุณไม่ได้เป็นคนแถบชานเมืองนี้แล้วล่ะก็ ถึงจะเป็นคนบีตส์เบิร์กมาแต่กำเนิดก็อาจจะไม่รู้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่ากันว่า ร้านเดอะ สกาลาจ เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนความลับที่ดีที่สุดเลยทีเดียว รวมถึงการซื้อขายความลับทั้งหลายแหล่ ถ้าคุณมาที่เมืองบีตส์เบิร์ก คุณอาจจะเจอร้านเหล้ามากมาย แต่คุณจะเจอร้านเหล้าแบบนี้แค่ที่เดอะ สกาลาจ เพียงที่เดียวเท่านั้น
ผมเดินอ้อมไปหลังร้าน ที่ซึ่งเป็นจุดลับสายตาคน หลังร้านเดอะ สกาลาจ นั้นเต็มไปด้วยถังเหล้าเบียร์เก่าๆ มากมายกองพระเนิน ผมปีนขึ้นไปตามถังเหล้าเหล่านั้น ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปอยู่บนขื่อ ร้านนี้เป็นร้านเก่าและสร้างมาจากไม้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่บนหน้าจั่วจะมีรอยแตกหักอยู่ ทั้งนี้มันเป็นรอยแตกหักของไม้ที่มีขนาดพอดีให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งลอดผ่านเข้าไปได้
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในความลับของผม อย่างที่บอกไปว่า ผมนั้นอาศัยอยู่ในห้องใต้หลังคาของร้านเหล้าแห่งนี้ เพียงแต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมอยู่ที่นี่ แม้แต่คุณโมลีมอค...อัลวิน โมลีมอค ผู้เป็นเจ้าของร้านเดอะ สกาลาจ และผมคงจะอยู่ที่แห่งนี้ไปอีกนานเท่านาน ตราบจนมันยังคงเป็นความลับที่เป็นปัจเจกของผมอยู่
ภายในห้องใต้หลังคาถูกประดับตกแต่งไปด้วยกรอบข่าวหนังสือพิมพ์หลากหลายสำนัก ซึ่งถูกคัดตัดออกมาจำนวนนับไม่ถ้วน กระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความและรูปวาดรูปถ่ายมากมายเหล่านี้แปะอยู่ทั่วห้องใต้หลังคา ซ้ำยังมีด้ายแดงจำนวนมากมายโยงไปโยงมา สุดห้องมีโต๊ะทำงานเก่าๆ ตั้งอยู่ ของสัพเพเหระมากมายวางรกอยู่บนนั้น แม้แต่เก้าอี้หน้าโต๊ะก็มีของวางกองพะเนิน
ผมหยิบแหวนของคุณออกซ์ฟอร์ดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเร่งไปที่โต๊ะทำงาน ผมกวาดของทุกอย่างออกจากเก้าอี้ แล้วลงมือรื้อค้นโต๊ะอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ผมกำลังหาคือ จดหมายฉบับหนึ่ง
และไม่นาน ผมก็เจอมัน
มันคือ ซองจดหมายสีน้ำตาลซีดที่ไม่ได้จ่าหน้าผู้ส่ง มีแต่ชื่อที่อยู่ของผู้รับ นอกจากนี้ผมยังไม่รู้อีกว่าเจ้าของชื่อนี้คือใคร แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ผมใส่ใจ ผมมองครั่งที่ประทับปิดผนึกจดหมาย และมองแหวนในมือ สัญลักษณ์ที่สลักไว้ที่หัวแหวนสามารถกดลงบนตราครั่งได้อย่างพอดิบพอดี
บัดนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่าผู้ส่งก็คือ คุณออกซ์ฟอร์ด...เจ้าหน้าที่อาวุโสของสถาบันการเงินโวฟามิงโก้ หรืออย่างน้อย ถ้าผู้ส่งเป็นคนอื่น คุณออกซ์ฟอร์ดก็ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน ปัญหาเดียว ณ ขณะนี้ก็คือ ใครกันคือผู้รับ
ร็อดดริก ซีเรียล
538 ซอยกริมเฮาส์7 ถนนกริมเฮาส์
เขตบีนสเปราต์ เมืองบีตส์เบิร์ก
ผมมั่นใจว่าไม่เคยเห็นชื่อนี้ผ่านตาบนจดหมายฉบับใดเลยสักครั้ง มันทำให้ผมคิดได้ มันอาจจะเป็นชื่อปลอมหรือนามแฝงลับอะไรบางอย่าง และตราที่สลักอยู่บนหัวแหวนก็อาจจะเป็นสัญลักษณ์ของใครหรือองค์กรใดอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมตัดสินใจที่จะหยิบจดหมายในซองขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หลังจากเคยอ่านมันมาแล้วนับสิบรอบ
ถึง ร็อด เพื่อนรัก
ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว อีกไม่นาน จดหมายทั้ง 27 ฉบับจะถูกส่งไปให้คนทั้ง 27 คนพร้อมบัตรเชิญ เมื่อม่านเวทีเปิดออก ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของนาย
อ.ฟ.
คุณอาจจะเห็นว่าเนื้อหามันน้อยนัก แต่จดหมายถูกเขียนเพียงเท่านี้จริงๆ มันน้อยมากเสียจนถึงผมจะอ่านสักกี่รอบก็ไม่เข้าใจ มีหลายข้อสังเกตที่ผมจับผิดได้ในจดหมายนี้ ประการแรกเนื้อหาสั้นห้วนเกินไป ซ้ำยังคลุมเครือ แต่นั่นแหละคือวัตถุประสงค์ที่ทำให้ใครก็ตามที่อ่านมัน ไม่สามารถทราบถึงเนื้อหาที่แท้จริงได้
ประการที่สอง ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมคนส่งถึงระบุชื่อผู้รับชัดเจดแจ่มแจ้งขนาดนี้ ในขณะที่ตัวเองกลับใช้อักษรย่อ และ อ.ฟ. ก็คือ คุณออกซ์ฟอร์ดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมเขาถึงเลือกใช้อักษรย่อของนามสกุลล่ะ
ประการที่สาม จดหมายทั้ง 27 ฉบับ ถ้ามันถูกส่งไปแล้ว นั่นแปลว่าพวกมันจะต้องผ่านมือผมไปแล้วอย่างแน่นอน และถ้าผมจำไม่ผิดพลาดล่ะก็ หลังจากไปส่งจดหมายที่บ้านคุณออกซ์ฟอร์ดแล้ว จดหมายที่ผมต้องส่งต่อมี 27 ฉบับพอดี
สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าคุณออกซ์ฟอร์ดกับพวกของเขาคิดจะทำอะไร มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ และถ้ามันประสบความสำเร็จล่ะก็ ผมคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และถ้ามันต้องสังเวยด้วยชีวิตคน นายหัวของผมต้องฆ่าผมตายแน่ เช่นนั้นแล้ว ผมจะไม่ยอมให้สิ่งที่ผมตามสืบมานับเดือนต้องสูญเปล่า
ผมแอบลักจดหมายฉบับนี้มาเมื่อสองวันก่อน และมันยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ก็น่าจะดูเป็นความสมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่ผมจะไปส่งจดหมายฉบับนี้ให้กับคนที่ชื่อว่า ร็อดดริก ซีเรียล ด้วยตนเอง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ผมก็เก็บจดหมายกลับเข้าซอง ก่อนที่จะค้นหากระปุกครั่งของผม อากาศที่อบอ้าวพอสมควรในห้องใต้หลังคานี้ ทำให้ครั่งไม่แข็งตัว ผมหยอดมันสองสามหยดเพื่อผนึกจดหมาย ก่อนจะกดแหวนของคุณออกซ์ฟอร์ดลงไปอย่างบรรจง ไม่มีทางแยกออกได้เลยว่า มันเคยถูกแกะออกอ่านมาก่อน
ผมมองที่หน้าซองจดหมายอีกรอบ
“สวัสดีครับ...” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณร็อดดริก ซีเรียล”
ผู้แต่ง : peecee
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | ตอนที่ 1 บุรุษไปรษณีย์ผู้มากความ | 08 ก.พ. 59 |
2 | ตอนที่ 2 ความลับกับตราสัญลักษณ์ | 07 มี.ค. 59 |
3 | ตอนที่ 3 ละครโอเปร่า | 14 มี.ค. 59 |
4 | ตอนที่ 4 ความร่วมมือที่ไม่น่าเป็นไปได้ | 21 มี.ค. 59 |
5 | ตอนที่ 5 สมุดบันทึกและเด็กสาวนิรนาม | 28 มี.ค. 59 |
สำหรับนิยายแนวสืบสวนสอบสวน/ ลึกลับซ่อนเงื่อน
แน่นอนว่าช่วงบทแรกๆต้องเป็นการปูเนื้อเรื่อง+ผูกปมซะเยอะ
ซึ่งตรงนี้ทำได้ดีแล้วนะครับ เดินเรื่องได้ลื่นไหล
แต่กว่าจะถึงจุดคลี่คลายปมที่ผูกเอาไว้ก็คงต้องท้ายๆเรื่องนู่น
ซึ่งใน 5 บทแรกคงไม่มีทางได้เห็น
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถึงตอนเฉลย มันจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกทึ่งสุดๆไปเลยนะคับ XD
บทที่ 5 นี้รู้สึกว่าอ่านง่ายขึ้นกว่าบทก่อนๆ
ดูเหมือนกำลังเข้าฝักได้ที่เลยครับ
อย่างไรก็ตาม ฝากปรับปรุงตามตัวอย่าง 2 จุดนี้เพิ่มเติมนะครับ
1. พยายามเลี่ยงการใช้สำนวนฝรั่งนะครับ(ต่อให้เรื่องของเราจะเป็นธีมฝรั่งก็ตาม แต่สำนวนไม่ควรฝรั่ง)
เช่น [ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก]
ถูกเปิดออก ---> แบบนี้เป็นรูปประโยค passive/ ฝรั่งนิยมใช้/ คนไทยไม่นิยมนะครับ
คนไทยใช้รูป active
ดังนั้นควรแก้ให้เป็นรูป active เช่น: [ไม่นานนักก็มีคนมาเปิดประตู]/ [ไม่นานนักประตูก็อ้าเปิด]
2. ตัดคำซ้ำนะครับ
เช่น [มีไม่กี่สาเหตุนักที่จะทำให้ซิสเตอร์แมร์รี่ผู้อ่อนโยนจะแปลงร่างจากนางฟ้าเป็นแม่มด และหนึ่งในสาเหตุนั้นก็คือ การที่เด็กกำพร้า...]
สังเกตดู มีคำว่า 'จะ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
และมีคำว่า 'สาเหตุ' 2 คำในประโยคเดียวกัน
เป็นเหตุที่ทำให้อ่านแล้วสะดุดครับ
ควรแก้/ ใช้คำอื่นแทน/ หรือตัดทิ้งไปเลยยังได้
กรณีที่ตั้งใจใช้คำซ้ำเพื่อให้เกิดสัมผัสในก็มีครับ นักเขียนบางคนใช้ได้อย่างสวยงาม
แต่ในตัวอย่างที่ยกมานี้ไม่ใช่
จะเอาใจช่วยต่อไปนะครับ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช