"แช่แข็งมนุษย์" ปฏิบัติการท้าความเย็น...สู่การเป็นอมตะ

          วัสดีค่ะน้องๆ^^ บทความวิทยาศาสตร์วันนี้จะมาพูดถึงความเป็นอมตะกันหน่อย ทุกวันนี้ทางการแพทย์พยายามใช้เทคโนโลยีและคิดค้นวิจัยวิธีทำให้มนุษย์มีอายุยืนขึ้น ห่างไกลจากโรคร้ายๆ มากขึ้น และก้าวหน้าสุดๆ เมื่อมีการทดลองที่ฝืนกฎธรรมชาติด้วยการ "แช่แข็งมนุษย์" หรือ ไครโอนิกส์ (Cryonics) ที่เชื่อกันว่าสามารถฟื้นคืนชีพมนุษย์ได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง


          ตามหลักทางการแพทย์เชื่อว่าสมองของมนุษย์เป็นที่รวบความคิด ความรู้ ความรู้สึก และความจำต่างๆ ดังนั้นจึงมีความเชื่อว่าการช่วยคนให้ฟื้นคืนชีพหลังความตายได้เป็นเรื่องที่สามารถทำได้จริงๆ โดยบุคคลแรกที่เสนอให้มีการเก็บรักษาร่างกายมนุษย์ด้วยการแช่แข็ง คือ ศาสตราจารย์โรเบิร์ต เอ็ตทิงเกอร์ นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ซึ่งภายหลังท่านนี้ได้ถูกขนานนามให้เป็นบิดาแห่งไครโอนิกส์อีกด้วยค่ะ

          จุดเริ่มต้นเกิดจากการที่ศาสตราจารย์โรเบิร์ตได้สั่งให้ลูกศิษย์แช่แข็งสเปิร์มของกบ เขาจึงเกิดแนวคิดในการเก็บรักษาร่างกายมนุษย์ หลังจากนั้นอีกไม่นานก็เริ่มทดลองไปเรื่อยๆ จนสามารถเก็บรักษาสเปิร์มวัว สเปิร์มมนุษย์ จนกระทั่งเก็บรักษาตัวอ่อนของหนู กระต่าย แกะและแพะด้วยการแช่แข็งได้สำเร็จ

          แต่การจะแช่แข็งมนุษย์ไม่ใช่การเข้าไปแช่ในช่องฟรีซหรือเข้าเมืองหิมะนะคะ แต่วิธีการแช่แข็งมนุษย์ในแบบไครโอนิกส์ คือการรักษาร่างกายมนุษย์ด้วยการทำให้ร่างกายแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งการลดอุณหภูมิให้ต่ำจนติดลบหลายสิบองศาแบบเฉียบพลันจะช่วยให้เซลล์ยังไม่ถูกทำลาย
แม้ว่าจะหยุดหายใจไปแล้วแต่ถ้าเซลล์ยังไม่ตายก็ยังถือว่าคนนั้นยังไม่ตายค่ะ และสามารถฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่ได้

          น้องๆ อาจจะเริ่มอยากรู้แล้วว่าการแช่แข็งมนุษย์มีวิธีการทำอย่างไร แต่บอกไว้ก่อนเลยนะคะ ทำเองไม่ได้เด็ดขาดจ้า (น้องๆ ยังเด็ก มีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี อย่าเพิ่งเป็นอมตะเลยนะ 555)

          เริ่มต้นเมื่อหัวใจหยุดเต้น สมองของคนไข้จะได้รับการปกป้อง ด้วยการเติมออกซิเจนเข้าสมองเพื่อไม่ให้สมองตายและต่อเส้นเลือดดำเข้ากับอุปกรณ์เติมสารเคมีเพื่อรักษาระดับความดันโลหิต เมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลงจนเกือบถึง 0 องศาเซลเซียส ก็จะแทนที่เลือดด้วยสารเคมีที่ไม่ให้เลือดเป็นน้ำแข็ง ซึ่งขั้นตอนต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายเย็นลงอย่างรวดเร็วก็จะเพื่อลดการเสื่อมของเซลล์ระหว่างการขนส่งร่างกายไปยังที่เก็บค่ะ

          จากนั้นจึงนำร่างไปที่กระบวนการแช่แข็งในถังที่บรรจุไว้ด้วยไนโตรเจนเหลวที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส แต่ก่อนจะมาขั้นตอนนี้ต้องทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิเท่ากับไนโตรเจนเหลวก่อนเพื่อไม่ให้เนื้อเยื่อและอวัยวะสำคัญๆ เสียหายนั่นเอง เมื่อลงในถังไนโตรเจนเหลวก็เป็นอันเรียบร้อย รอวันฟื้นคีนชีพค่ะ

          แม้ว่าเรื่องนี้จะดูเป็นเรื่องมหัศจรรย์ แต่สำหรับต่างประเทศเริ่มมีทดลองบ้างแล้วนะคะ โดยจะมีอยู่ 2 ประเทศคือ อเมริกาและรัสเซีย ส่วนราคาของการทำไครโอนิกส์ไม่ต้องพูดถึง แพงหูฉี่ค่ะ สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านบาท(หรือมากกว่านั้น) แต่ถ้าอยากเก็บแต่สมองก็ทำได้นะคะ ถูกกว่ากันเยอะเลย


          โดยรวมการทำโครโอนิกส์ก็พอจะมีประโยชน์ในแง่ของการวิจัย เช่น การทดลองรักษาโรคมะเร็ง หรือใช้เพื่อค้นคว้าวิทยาการใหม่ๆ แต่ถ้าเก็บเพื่อให้ตัวเองเป็นอมตะ พี่มิ้นท์ขอบายค่ะ อย่างแรกคือไม่มีเงิน อย่างที่สองคือถ้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงแต่ต้องอยู่กับคนอื่นที่เราไม่รู้จักก็คงไม่มีความสุขอยู่ดี และอย่างสุดท้ายพี่มิ้นท์ขอชดใช้กรรมเท่าที่อายุขัยมีก็พอแล้วค่ะ ><
  
   

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพประกอบจาก
หนังสือไขปริศนา ปัญหาลึกลับ. บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
วารสารสื่อพลัง.

http://knowledge.truelife.com/content/detail/112004
www.newscientist.com/blogs/shortsharpscience/2011/07/dead-cryonics-founder-is-froze.html

พี่มิ้นท์
พี่มิ้นท์ - Columnist พี่สาวใจเย็น ผู้เกิดมาในแอดมิชชั่นยุคแรก แต่เข้าใจ TCAS มากกว่า

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Carrottiez Windy Member 17 ส.ค. 56 12:14 น. 15
คนอายุสั้น = กรรมน้อย
คนอายุยาว = กรรมเยอะ
คนอมตะ = ไม่มีตาย = อายุยิ่งกว่ายาว = กรรมเยอะโคตรๆ

#ไม่เอาด้วยแฮะ 55555555
3
เด็กหญิงน้ำหวาน Member 21 เม.ย. 58 17:30 น. 15-1
ถ้าจำไม่ผิด อ.เราสอนว่า คนที่อายุสั้นน่ะกรรมไม่ดีเยอะ ทำให้ตายเร็ว และสะสมกรรมดีได้น้อย ส่วนคนอายุยืนได้มีโอกาสชดใช้กรรมเก่าได้เยอะและได้สะสมกรรมดีด้วย แต่ยุคของพระพุทธเจ้ายุคปัจจุบันคนจะอายุไม่เกิน 120 ปีเยี่ยม
0
กำลังโหลด
ไอซ์ดราก้อน Member 15 ส.ค. 56 17:47 น. 5
นึกถึงกัปตันอเมริกา

ถึงวันนั้น เราก็จะเป็นคนแปลกหน้าในประเทศของตัวเอง
บ้านของเราจะกลายเป็นที่ดินของคนอื่น ญาติพี่น้องที่รู้ตายหมด
หรือลูกพี่ลูกน้องที่อายุ3-4ขวบอาจจะยังมีชีวิตอยู่
ในสภาพคนแก่วัยย่าง80
0
กำลังโหลด
Monster High Member 15 ส.ค. 56 17:27 น. 4
ทำอย่างงี้งั้นก็แปลว่า ร่างที่จะนำไปแช่แข็งได้ก็ต้องเป็นร่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
แล้วคนที่มีชีวิตอยู่จะยอมให้ตัวเองนิ่งเป็นคนตาย ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีคนมาทำให้ตื่นอีกทีตอนไหน555
น่าจะมีการเซ็นต์สัญญารับรองว่าร่างจะไม่ถูกทอดทิ้งจะดูแลร่างอย่างดี และปลุกให้ฟื้นตามที่ระบุในสัญญา

น่าสนใจมาก ถ้าอายุซัก 60-70 แล้วยังอยากรู้ว่าอีก 50 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีจะเป็นยังไง กรุงเทพจะพัฒนาแค่ไหนต้องไปลองแช่แข็งซะแล้ว
2
มอส 21 เม.ย. 58 18:48 น. 4-1
แต่จะไม่ฉลาดครบเพราะเขาจะเติมออกซิเจนเข้าสมองเพื่อไม่ให้สมองตายและต่อเส้นเลือดดำเข้ากับอุปกรณ์เติมสารเคมีเพื่อรักษาระดับความดันโลหิต
0
กำลังโหลด
เกริด้า(๐-*-๐)v Member 3 ต.ค. 56 13:54 น. 33

ก็เป็นแนวคิดที่น่าสนใจมากค่ะ  วันหนึ่งเราคงน่าจะต้องใช้เทคโนโลยีนี้จริงๆนะ เพราะเรายังไม่สามารถวาร์ป(เทเลพอร์ต)ได้ การจะไปสำรวจอวกาศถึงไหนๆตอนนี้ก็มีข้อจำกัดมาก ถ้าการที่เราสามารถแช่แข็งตัวเองและตั้งเวลาให้ฟื้นได้โดยอัตโนมัติ เรื่องนี้..เราอาจไปสำรวจอวกาศได้ถึงสุดขอบเอกภพเลยก็ได้นะ แต่พอกลับมาโลกยุคสมัยอาจจะเปลี่ยนไปแล้วนะ ไม่แน่..ในอดีตอาจมีคนทำได้แล้วส่งคนออกไปสำรวจแล้วแต่ยังไม่กลับมาก็ได้ หรือถ้าโลกมันจะแตกจริงๆ การอพยพคนโดยใช้เทคโนโลยีนี้ก็เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่น่าสนใจนะคะ หุหุ  ^^

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

58 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Monster High Member 15 ส.ค. 56 17:27 น. 4
ทำอย่างงี้งั้นก็แปลว่า ร่างที่จะนำไปแช่แข็งได้ก็ต้องเป็นร่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่
แล้วคนที่มีชีวิตอยู่จะยอมให้ตัวเองนิ่งเป็นคนตาย ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะมีคนมาทำให้ตื่นอีกทีตอนไหน555
น่าจะมีการเซ็นต์สัญญารับรองว่าร่างจะไม่ถูกทอดทิ้งจะดูแลร่างอย่างดี และปลุกให้ฟื้นตามที่ระบุในสัญญา

น่าสนใจมาก ถ้าอายุซัก 60-70 แล้วยังอยากรู้ว่าอีก 50 ปีข้างหน้าเทคโนโลยีจะเป็นยังไง กรุงเทพจะพัฒนาแค่ไหนต้องไปลองแช่แข็งซะแล้ว
2
มอส 21 เม.ย. 58 18:48 น. 4-1
แต่จะไม่ฉลาดครบเพราะเขาจะเติมออกซิเจนเข้าสมองเพื่อไม่ให้สมองตายและต่อเส้นเลือดดำเข้ากับอุปกรณ์เติมสารเคมีเพื่อรักษาระดับความดันโลหิต
0
กำลังโหลด
ไอซ์ดราก้อน Member 15 ส.ค. 56 17:47 น. 5
นึกถึงกัปตันอเมริกา

ถึงวันนั้น เราก็จะเป็นคนแปลกหน้าในประเทศของตัวเอง
บ้านของเราจะกลายเป็นที่ดินของคนอื่น ญาติพี่น้องที่รู้ตายหมด
หรือลูกพี่ลูกน้องที่อายุ3-4ขวบอาจจะยังมีชีวิตอยู่
ในสภาพคนแก่วัยย่าง80
0
กำลังโหลด
Peerawat Arumsri Member 15 ส.ค. 56 18:14 น. 6
น่าสนแหะ!! ถ้าตื่นขึ้นมาจะมีผลข้างเคียงหรือเปล่า  รอให้มันมีความก้าวหน้ากว่านี้ก่อน ดีกว่า
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
maysunny. Member 16 ส.ค. 56 22:33 น. 12
คิดแบบพี่มิ้นท์เลยค่ะ

ถ้าฟื้นคืนชีพมา แล้วไม่ได้อยู่กับคนที่เรารัก ก็ไม่มีความสุข ยอมตายดีกว่า

ธรรมชาติกำหนดให้มนุษย์มีอายุประมาณ 70-90 ปี เพราะเป็นอะไรที่พอดีแล้ว

มากกว่านั้น ก็เบื่อตาย อยู่ไปไม่มีความสุข :(
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Carrottiez Windy Member 17 ส.ค. 56 12:14 น. 15
คนอายุสั้น = กรรมน้อย
คนอายุยาว = กรรมเยอะ
คนอมตะ = ไม่มีตาย = อายุยิ่งกว่ายาว = กรรมเยอะโคตรๆ

#ไม่เอาด้วยแฮะ 55555555
3
เด็กหญิงน้ำหวาน Member 21 เม.ย. 58 17:30 น. 15-1
ถ้าจำไม่ผิด อ.เราสอนว่า คนที่อายุสั้นน่ะกรรมไม่ดีเยอะ ทำให้ตายเร็ว และสะสมกรรมดีได้น้อย ส่วนคนอายุยืนได้มีโอกาสชดใช้กรรมเก่าได้เยอะและได้สะสมกรรมดีด้วย แต่ยุคของพระพุทธเจ้ายุคปัจจุบันคนจะอายุไม่เกิน 120 ปีเยี่ยม
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กระต่ายฟู 18 ส.ค. 56 01:42 น. 19
ทราบเรื่องนี้นานแล้วครับ ประมาณสิบปีได้ แต่ก็ยังไม่มีการฟื้นคืนชีพสักราย เคยจดรายละเอียดไว้ว่า...ยังต้องค้นหาวิธีอีกหลายอย่างกว่าจะฟื้นคืนชีพได้ ตอนนี้ก็ได้แต่เก็บร่างไว้ก่อน รอเทคโนโลยีก้าวหน้าจึงจะทำต่อได้
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด